อีกก้าวเดียวกับโทรฟี่ที่รอคอยมานาน ! เจาะ 5 ประเด็น แมนซิตี้ ปราบ "เปแอสเช" เข้าชิง แชมเปี้ยนส์ ลีก

เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ทำภารกิจที่เหล่าสาวก "เรือใบสีฟ้า" เฝ้ารอมานาน นั่นก็คือการได้ผ่านเข้าไปชิงชนะเลิศ ศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก และที่สำคัญพวกเขามีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จสูงมากๆ เพราะตอนนี้ทีมกำลังอยู่ในช่วงฟอร์มพีคสุดๆ รวมทั้งเต็มไปด้วยความมั่นใจ
แมนฯ ซิตี้ จัดการดับซ่า ปารีส แซงต์-แชร์กแมง ในเกมเลกสอง ที่สนามเอติฮัด สเตเดี้ยม ด้วยสกอร์ 2-0 ส่งผลให้สกอร์รวมสองนัด พวกเขาเอาชนะไปได้ 4-1 และจองตั๋วไปที่นครอิสตันบูล ประเทศตุรกี เพื่อรอคู่แข่งในนัดชิงว่าจะเป็นใครระหว่าง เชลซี หรือ เรอัล มาดริด ที่จะแข่งเกม 2 ในวันพุธนี้
ตอนนี้คงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ทั่วท้องถนนเมืองแมนเชสเตอร์ จะเต็มไปด้วยสีฟ้าที่แสนสดใส กลบสีแดงเพลิงซึ่งครอบครองเมืองนี้มานาน แต่หากจะให้ทุกอย่างสมบูรณ์แบบ เป๊ป แอนด์โค. ควรจะสร้างประวัติศาสตร์คว้า 3 แชมป์ในซีซั่นนี้มันซะเลย !!!
1. ซินเชนโก้ โดดเด่นทั้งรุกและรับ
หนึ่งในผู้เล่นแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่ควรจะได้รับคำชมมากที่สุดก็คงหนีไม่พ้น โอเล็กซานเดอร์ ซินเชนโก้ ฟูลแบ็กตัวเก่ง เพราะฟอร์มการเล่นของเขาโดดเด่นอย่างมากทั้งเกมรุก และเกมรับ และมีส่วนกับชัยชนะในแมตช์นี้
แบ็กซ้ายวัย 24 ปีเกือบจะต้องเจอฝันร้ายในครึ่งแรก เมื่อ บียอร์น ไคเปอร์ส กรรมการชาวดัตช์ เป่าจุดโทษจากจังหวะแฮนด์บอล แต่หลังจากที่ทำการเช็ค "วีเออาร์" แล้วทุกอย่างเคลียร์ชัดเพราะบอลไปโดนหัวไหล่เต็มๆ
จากนั้นไม่นาน ซินเชนโก้ ก็โชว์การวิ่งที่รวดเร็วเกือบครึ่งสนามเพื่อไปรับบอลที่ เอแดร์ซอน เตะออกมาจากหน้าประตู ก่อนที่จะส่งให้ เควิน เดอ บรอยน์ ซัดไปติดกองหลัง "เปแอสเช" ก่อนที่บอลจะทะลักเข้าทางปืน ริยาด มาห์เรซ
ขณะที่ในต้นครึ่งหลัง ดาวเตะชาวยูเครน ก็มีส่วนช่วยเซฟทีมไม่ให้เสียประตู หลังจากที่เขาวิ่งเข้ามาขว้างจังหวะตะบันของแข้ง แซงต์-แชร์กแมง สำหรับช่วงเวลาที่เหลืออยู่ ซินเชนโก้ สามารถเล่นได้ตามมาตรฐานที่ "เป๊ป" ต้องการ และไม่มีข้อผิดพลาดใดๆ เลย
2. การประสานงานที่ลงตัวในทุกตำแหน่ง
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า แมนฯ ซิตี้ ชุดนี้เล่นได้อย่างเข้าขารู้ใจจริงๆ โดยเฉพาะในเกมรับมือ แซงต์-แชร์กแมง พวกเขาทั้ง 11 คนเล่นได้อย่างยอดเยี่ยมแทบไม่มีอะไรต้องติกันเลย โดยเฉพาะเกมรุกที่ต้องบอกว่าทั้งแข็งแกร่งและเฉียบคมอย่างมาก
จังหวะที่ "เรือใบสีฟ้า" ได้ประตูแรกมาจากการเปิดบอลจากหน้าประตูตัวเองของ เอแดร์ซอน ไปให้กับ ซินเชนโก้ ที่ตบเข้ามาให้ เดอ บรอยน์ ก่อนจะไปจบที่ มาร์เรซ สำหรับประตูที่สองต้องชื่นชมการเล่นสวนกลับเร็วของ ซิตี้ โดยเริ่มจาก ฟิล โฟเด้น และทำชิงหนึ่ง-สองกับ เดอ บรอยน์ ก่อนที่ ดาวรุ่งเลือดผู้ดี จะส่งไปให้ มาร์เรซ หลุดเข้าไปซัดในระยะ 6 หลาไม่เหลือซาก
สำหรับ โฟเด้น ต้องบอกเลยว่านักเตะคนนี้ยิ่งเล่นยิ่งพัฒนา และแทบจะเป็นหัวใจสำคัญในการรุกของ แมนฯ ซิตี้ โดยเขาสร้างความปั่นป่วนให้กับเกมรับของ "เปแอสเช" ได้ตลอด ยิ่งในครึ่งหลังที่มีโอกาสหลุดไปซัดชนเสา และยังมีจังหวะที่ยิงไปโดน เกย์ลอร์ นาวาส เซฟด้วย
ขณะ มาห์เรซ แมตช์นี้โคตรพลิ้วจริงๆ ความเร็วของเขาทำให้เกมทางฝั่งขวาของ "เรือใบสีฟ้า" อันตรายเป็นสองเท่า แถมเจ้าตัวยังมักจะยืนอยู่ถูกที่ถูกเวลา นั่นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ทำให้เขากลายเป็นนักเตะคนที่สองจากสโมสรอังกฤษที่ทำประตูได้ทั้งเหย้า-เยือนในเกมรอบตัดเชือก แชมเปี้ยนส์ลีก ต่อจาก ซาดิโอ มาเน่ เมื่อซีซั่น 2017/2018
ด้านเกมรับทั้ง จอห์น สโตนส์ และ รูเบน ดิอาส เหนียวแน่นแข็งแกร่งมากๆ โดยงานนี้ เนย์มาร์ เล่นไม่ออกเลย แต่ ดิอาส โดดเด่นมากกว่าทั้งสกัด 100 เปอร์เซนต์, ผ่านบอลได้แม่นยำ และบล็อกจังหวะการยิงของนักเตะทีมเยือนได้ตลอด ทำให้เจ้าบ้านสามารถรักษาคลีนชีตเอาไว้ได้
3. มาห์เรซ โดดเด่นเกินห้ามใจ
เป็นอีกครั้งที่ ริยาด มาห์เรซ แสดงให้เห็นแล้วว่าเขาเป็นนักเตะที่มีความสำคัญกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ มากแค่ไหน และที่สำคัญเจ้าตัวมักจะทำประตูสำคัญที่ส่งผลให้ทีมคว้าชัยชนะในเกมที่ตึงเครียดได้หลายต่อหลายครั้ง
ย้อนไปตั้งแต่ในเกมเลกแรกที่ดวลกับ "เสือเหลือง" โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ในรอบก่อนรองชนะเลิศ เขาก็เป็นคนยิงประตูสำคัญในแมตช์นั้น ขณะที่เกมปะทะ "เปแอสเช" ทั้งเหย้าและเยือน ดาวเตะชาวแอลจีเรีย ซัดรวมไป 3 ประตู
นายใหญ่ชาวสแปนิช ตัดสินใจถูกต้องที่เลือกใช้ 3 ประสานในเกมรุกได้แก่ มาห์เรซ, เดอ บรอยน์ และ โฟเด้น ลงเล่นพร้อมกัน ซึ่งพวกเขามีส่วนในการปั่นป่วนเกมรับทีมของกุนซือเมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ ได้ตลอด
ฉะนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ ราฮีม สเตอร์ลิง, กาเบรียล เชซุส และ เซร์คิโอ อเกวโร่ จะเป็นเพียงแค่ตัวสำรอง ที่สำคัญหากไม่เกิดอาเพศกับสามประสาน ในนัดชิงที่สนามอตาเติร์ก โอลิมปิก สเตเดี้ยม พวกเขาคงได้ลงประสานงานร่วมกันในแมตช์แห่งประวัติศาสตร์ของสโมสร
4. "เปแอสเช" ขาดระเบียบวินัยในการเล่นอีกครั้ง
อิดริสซ่า กาน่า เกย์ เข้าเสียบสกัดอย่างน่าเกลียดในเกมแรก ทำให้โดนใบแดง ขณะที่ อังเคล ดิ มาเรีย ตบะแตกเล่นนอกเกมใส่ แฟร์นันดินโญ่ ในช่วงครึ่งหลัง ส่งผลให้โดนไล่ออกในเกมที่เอติฮัด สเตเดี้ยม สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงการขาดระเบียดวินัยของนักเตะทั้งสองคน
แน่นอนว่าคุณไม่มีทางที่จะทะลุเข้ารอบชิงชนะเลิศ ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ด้วยการมีผู้เล่นเหลือเพียงแค่ 10 คนจากการลงสนามทั้งเหย้า-เยือน ที่สำคัญนักเตะ "เปแอสเช" รวมทั้ง เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ ไม่ได้เรียนรู้อะไรเลยจากการเล่นแบบขาดสติเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา
ในเกมแรกที่กรุงปารีส หลังจากโดน แมนฯ ซิตี้ ยิงแซง 2 ประตู บรรดาแข้ง แซงต์-แชร์กแมง ดันสติแตกพยายามที่จะยิงประตูคืนให้ได้ แต่สุดท้ายการเป็นเสียสมาธิ และทำให้จังหวะเข้าบอลไม่มีความแม่นยำ จนเป็นเหตุให้ เกย์ ต้องโดนลงโทษ
ขณะที่แมตช์สอง พวกเขาตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบากเมื่อโดน "เรือใบสีฟ้า" นำห่าง 2-0 แต่แทนที่จะมีสมาธิกับเกม และตั้งหน้าตั้งตาเล่นให้เต็มที่ ดิ มาเรีย ดันสติหลุดทั้งด่า และถีบใส่ข้อเท้า แฟร์นันดินโญ่ ตรงริมเส้น ส่งผลให้เขาต้องออกไปอาบน้ำในห้องแต่งตัวก่อนเพื่อนร่วมทีม
นี่คือสิ่งที่ "พอช" ต้องรีบเตือนสติลูกทีมของเขา เพราะถึงจะพลาดไม่ประสบความสำเร็จในโทรฟี่ "หูกาง" แต่พวกเขายังมีลุ้นที่จะคว้าแชมป์ ลีก เอิง กับ เฟร้นช์ คัพ ฉะนั้นการโฟกัสอยู่กับเกมที่เหลืออยู่เป็นสิ่งที่สำคัญ ถ้าหากมัวแต่ผิดหวัง อาจจะได้เศร้ายิ่งกว่านี้อีกหลายเท่า
5. ถนนสู่นครอิสตันบูล ประเทตุรกี
ตอนนี้คงต้องบอกว่าไม่มีใครที่จะมีความสุขเท่ากับแฟนบอลของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ อีกแล้ว เพราะพวกเขากำลังที่จะประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ในหน้าประวัติศาสตร์สโมสร หลัง "เป๊ป" นำทีมทะลุเข้ารอบชิงชนะเลิศ แชมเปี้ยนส์ ลีก
โทรฟี่ที่สุดยิ่งใหญ่ที่ กุนซือชาวสแปนิช เคยสัมผัสเพียงแค่ 2 ครั้งตอนที่คุม บาร์เซโลน่า เท่านั้น ด้วยเหตุนี้เขาจึงหมายมั่นปั้นมือที่จะได้สวมกอดมันอีกครั้งกับ "เรือใบสีฟ้า" หลังทำไม่สำเร็จตอนที่กุมทัพ "เสือใต้" บาเยิร์น มิวนิค
ผลงานของ แมนฯ ซิตี้ ในการพบกับ "เปแอสเช" แสดงให้เห็นแล้วว่า เป๊ป ได้เรียนรู้อะไรมากมายในการที่จะนำสโมสรไปให้สุดท้าย "ถ้วยใบโตยุโรป" หลังจากที่ผิดหวังมาหลายฤดูกาลทั้งกับ บาเยิร์น และยอดทีมแห่งถิ่นเอติฮัด สเตเดี้ยม
ยิ่งไปกว่านั้นในฤดูกาลนี้ แมนฯ ซิตี้ มีโอกาสทองที่จะผงาดคว้าทริปเบิ้ลแชมป์ หลังจากที่พวกเขาได้แชมป์ คาราบาว คัพ ไปแล้ว ขณะที่โทรฟี่พรีเมียร์ลีก ก็อยู่แค่เอื้อมขออีก 3 แต้มทุกอย่างก็จบ สำหรับแชมป์ "บิ๊กเอียร์" ก็เหลืออีกเพียงก้าวเดียวเท่านั้น
แม้อาจจะมีบางคนที่ค่อนขอดว่าถ้า "เรือใบสีฟ้า" ได้ 3 แชมป์ในซีซั่นนี้ก็ไม่สมบูรณ์แบบ เพราะตามความเชื่อของแฟนบอล (บางคน) มองว่า "ทริปเบิ้ลแชมป์" ที่เพอร์เฟกต์ต้องเป็นการได้แชมป์ เอฟเอ คัพ, พรีเมียร์ลีก และ แชมเปี้ยนส์ ลีก แต่ใครจะไปสน เพราะแชมป์ก็คือแชมป์ ส่วนทีมที่ไม่ได้แชมป์ก็ได้แต่มองตาปริบๆ
ถ้าหากสวรรค์ขีดเส้นพรหมลิขิตให้ แมนฯ ซิตี้ ได้ชิงกับ เชลซี งานนี้ เป๊ป จะได้แก้มือกับ โธมัส ทูเคิ่ล อีกครั้ง หลังจากที่เขาต้องเสียท่าให้กับกุนซือชาวเยอรมัน ที่นำ เชลซี ปราบ "เรือใบสีฟ้า" นัดรอบตัดเชือก ศึกเอฟเอ คัพ ทำให้เส้นทางลุ้น "สี่แชมป์" ต้องจบไปอย่างน่าเสียดาย !!!
ทอมเม้ง
[ ไม่อนุญาตให้คัดลอกรูปภาพหรือนำไปเผยแพร่รูปภาพต่อไม่ว่าวิธีใดๆ ถ้าฝ่าฝืนมีความผิดตามกฎหมายที่ระบุไว้สูงสุด ]