มันแต่ไร้สกอร์ : ชำแหละ 5 ข้อลิเวอร์พูลเปิดบ้านเสมอบาเยิร์น

ผลงานของ ลิเวอร์พูล เปิดบ้านเสมอ บาเยิร์น มิวนิค 0-0 เกมยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบ 16 ทีมสุดท้าย นัดแรก เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา อาจจะทำให้สาวก "เดอะ ค็อป" โล่งใจอยู่บ้างเนื่องจากทีมรักไม่เสียประตูในถิ่นแอนฟิลด์ ทำให้เกมนัด 2 ที่อัลลิอันซ์ อารีน่า คงสนุกเข้มข้นมากยิ่งขึ้น
สำหรับฟอร์มการเล่นของ "หงส์แดง" ในแมตช์นี้ต้องบอกว่าไม่ดีแต่ก็ไม่แย่ โดยในเกมบุก 3 ประสาน ซาดิโอ มาเน่, โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ และ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ สร้างความหวือหวา แต่ก็ไม่ได้ทรงประสิทธิภาพจนถึงขนาดเข้าไปเจาะประตู "เสือใต้"
ขณะที่กองกลางทำผลงานได้ทรงตัว แต่ที่โดดเด่นก็คือ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน กัปตันทีม ที่วิ่งตลอดทั้งเกม และคอยทำหน้าที่ตัดเกม รวมไปถึงผ่านบอลให้เกมรุกเข้าทำได้ในบางครั้ง ส่วนในเกมรับงานนี้คนที่ได้รับคำชมที่สุดก็คือ ฟาบินโญ่ ที่สวมบทเซนเตอร์แบ็กจำเป็น แต่เล่นได้ดีราวกับกองหลังอาชีพ มีจังหวะสกัดสำคัญๆ หลายครั้งด้วย
1. งานหนักสำหรับ คล็อปป์
เจอร์เก้น คล็อปป์ มักจะมีความสุขในการสู้กับ บาเยิร์น มิวนิค สมัยที่เขายังเป็นเทรนเนอร์ให้กับ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ เพราะตอนที่อยู่ในบุนเดสลีกา บ่อยครั้งที่ กุนซือหน้าเปื้อนยิ้ม มักจะนำ "เสือเหลือง" ดับซ่า "เสือใต้" อยู่บ่อยๆ จนดับรัศมีความเป็นเจ้าลูกหนังเมืองเบียร์
อย่างไรก็ตามการกุมบังเหียน "หงส์แดง" ดวลกับ บาเยิร์น ในถิ่นแอนฟิลด์ เจ้าตัวต้องพบกับความยากลำบากเนื่องจากลูกทีมไม่สามารถสร้างปัญหาให้กับผู้มาเยือนได้มากนัก แม้จะมีบางจังหวะที่หวือหวา แต่ก็ไม่ได้อันตรายจนนำไปสู่การได้ประตูแต่อย่างใด
สำหรับแมตช์นี้ทีมของกุนซือนิโก้ โควัช มีการยืนเกมรับลึก และสามารถจัดการกับเกมบุกที่รวดเร็วป่านจรวดของเจ้าบ้านได้อยู่หมัด เห็นได้ชัดว่า โมฮาเหม็ด ซาลาห์ กับ ซาดิโอ มาเน่ ทำอะไรไม่ถนัดเลย เต็มที่ก็อาจจะมีครองบอลหวือหวาแต่สุดท้ายก็โดนสกัดทิ้ง หรือหากเปิดมาได้ก็ติดกองหลังอยู่ดี
ฉะนั้นตอนนี้ คล็อปป์ คงต้องคาดหวังว่าแนวรุกของทีมจะกลับมาฟอร์มกระฉูดในแมตช์ "แดงเดือด" เยือนแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่สนามโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด วันอาทิตย์นี้ ไม่งั้นอาจเศร้าเพราะ "ผีแดง" กำลังอยู่ในฟอร์มคึกสุดๆ ในเวลานี้จริงๆ
2. เฮนโด้ โดดเด่น
จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ต้องแบกภาระหนักอึ้งในการที่จะสร้างความมั่นใจจากสาวก "เดอะ ค็อป" หลังจากที่เขาต้องทำหน้าที่เป็นกัปตันทีมแทน สตีเว่น เจอร์ราร์ด ตำนานกองกลางพลังเทอร์โบ
สำหรับแมตช์นี้ สตาร์ทีมชาติอังกฤษ พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเขามีคุณค่ามากกว่าแค่การเป็นทายาทสืบทอด โดย "เฮนโด้" แสดงให้เห็นถึงการเป็นผู้นำ และมีความฉลาดหลักแหลมในการดวลกับแผงกลางของ "เสือใต้" แถมยังวิ่งไล่บอลไม่มีหยุดราวกับทีพละกำลังเต็มถังตลอดทั้งเกม และยังทุ่มเท รวมทั้งมีอารมณ์ร่วมกับเกมตลอด
แน่นอนว่าหากฤดูกาลนี้ "เดอะ เร้ดส์" ได้ชูโทรฟี่แชมป์ ไม่ว่าจะเป็น พรีเมียร์ลีก หรือ แชมเปี้ยนส์ ลีก คงไม่มีใครที่จะมีความสุขมากไปกว่า เจอร์ราร์ด ที่ได้เห็น เฮนเดอร์สัน ประสบความสำเร็จแทนที่เขาได้อย่างสมบูรณ์แบบ
3. อลีสซง เล่นยากไม่จำเป็น
อลีสซง ผู้รักษาประตูชาวบราซิเลียน ย้ายจาก โรม่า มาเล่นในถิ่นแอนฟิลด์ ด้วยค่าตัวมหาศาลถึง 65 ล้านปอนด์ (ราว 2,665 ล้านบาท) ในช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา ในช่วงแรกๆ เจ้าตัวโชว์หนึบจนได้รับการเชิดชูยกใหญ่ แต่บางครั้งก็มักทำผิดพลาดแบบไม่จำเป็นเช่นกัน
นายด่าน วัย 26 ปี เคยเล่นพลาดมหันต์ด้วยการพยายามล็อกบอลหลบแข้ง เลสเตอร์ ซิตี้ ก่อนจะโดนแย่งและเสียประตูในที่สุด ขณะเดียวกันในเกม "แดงเดือด" นัดแรก กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อลีสซง ก็ทำพลาดจับบอลหลุดมือทำให้โดน เจสซี่ ลินการ์ด ได้จังหวะยิงประตู
ขณะที่ในแมตช์รับมือกับ บาเยิร์น มิวนิค เป็นอีกครั้งที่ อลีสซง เล่นพลาดแบบไม่น่าเกิดขึ้นเมื่อได้บอลคืนหลัง และดันลังเลส่งบอลพลาด จากนั้นแข้ง "เสือใต้" แย่งบอลได้ และส่งให้ โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ ที่เลือกผ่านบอลให้ คิงส์ลี่ย์ โกมัน ตะบันเต็มข้อแต่บอลเข้าข้างตาข่าย
อย่างไรก็ตาม อดีตโกล์ โรม่า ก็ใช่ว่าจะเล่นผิดพลาด เพราะเขาก็มีจังหวะสำคัญที่เซฟประตูให้ "เดอะ เร้ดส์" ตอนที่ โฌแอล มาติป สกัดพลาด เดชะบุญที่ อลีสซง ยืนถูกตำแหน่ง ไม่งั้นเกมนี้ ลิเวอร์พูล คงเสียเปรียบหนักในแมตช์ 2 แน่นอน
4. ฟาบินโญ่ คุณค่าที่คู่ควร
ฟาบินโญ่ ต้องพบกับสถานการณ์กดดันอย่างหนักในช่วง 2-3 เดือนแรกที่ย้ายมาเล่นกับ ลิเวอร์พูล โดยในเวลานั้นเกิดคำถามออกมาทั่วสารทิศ ค่าตัวที่ "หงส์แดง" ควักกระเป๋าจ่ายให้ โมนาโก ถึง 40 ล้านปอนด์ (ราว 1,640 ล้านบาท) มันคุ้มค่าหรือเปล่า
อย่างไรก็ตาม ดาวเตะชาวบราซิเลียน ค่อยๆ พิสูจน์ศักยภาพของตัวเองได้ดีขึ้นเรื่อยๆ หลังจากปรับตัวกับเกมลูกหนังเมืองผู้ดีได้สำเร็จ และเล่นได้อย่างโดดเด่นในตำแหน่งกองกลางในช่วงหลายๆ สัปดาห์ที่ผ่านมา และในยามที่ทีมขาดเซนเตอร์แบ็ก เขาสามารถลงมายืนแทนได้ด้วย
สำหรับเกมกับ บาเยิร์น นั้น นักเตะก็เล่นได้เลียนตาราวกับเป็นกองหลังมืออาชีพ โดยเฉพาะจังหวะที่เข้าสกัด โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ บริเวณกรอบ 5 หลา ต้องบอกว่าแม่นยำมากๆ รวมไปถึงหลายๆ จังหวะที่เข้าสกัดทั้งจากการเปิดริมเส้น และการเจาะเข้ากลางของ "เสือใต้"
ฉะนั้น ฟาบินโญ่ พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเขาสามารถลงสนามได้หลากหลายตำแหน่ง และยังมีศักยภาพในการยืนเซนเตอร์แบ็กเมื่อทีมขาดหัวใจเกมรับอย่าง เฟอร์กิล ฟาน ไดค์
5. แนวรุกฟอร์มฝืด
สามประสานหิน เหล็ก ไฟ "เอสเอ็มเอฟ" (SMF) ซาดิโอ มาเน่, โม ซาลาห์ และ โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ ได้มีโอกาสลงเล่นพร้อมหน้าพร้อมตาในแมตช์นี้ และน่าจะสร้งปัญหาให้กับเกมรับของ บาเยิร์น ได้มากพอสมควร และสุดท้ายไม่ได้เป็นไปอย่างที่สาวก "เดอะ ค็อป" คาดหวัง
มาเน่ ต้องบอกว่ามีจังหวะสร้างความหวาดเสียวบาเยิร์น หลายครั้งโดยเฉพาะในครึ่งแรกจากจังหวะที่ได้ส้มหล่นแต่เจ้าตัวดันยิงแป๊กออกข้างหน้าตาเฉย ในส่วนของ ฟีร์มีโน่ กับ ซาลาห์ แม้จะได้บอลคอยป่วนเกมรับของทีมเยือน แต่ไม่สามารถเข้าเจาะในกรอบเขตโทษได้เลย แต่กระนั้นหากไม่ใช้ 3 ประสานนี้ แล้วทีมจะใช้ใครล่ะ ?
หากมองไปที่ซุ้มม้านั่งสำรอง เซอร์ดาน ชากีรี่ ตอนนี้ดูเหมือนจะฟอร์มตกไปบ้าง, แดเนี่ยล สเตอร์ริดจ์ ไม่ใช้กองหน้าที่ คล็อปป์ ไว้วางใจ ขณะที่ ดิว็อค โอริกี้ ไม่มีทางเป็นตัวความหวังได้ และ "เจเค" ก็ส่งแข้งเบลเยียมลงสนามในช่วงท้ายเกม และก็แทบไม่สร้างประโยชน์อะไรให้กับทีมได้เลย
สำหรับตอนนี้ คล็อปป์ มีการบ้านข้อสำคัญในการหาทางเลือกพิเศษในเกมรุกในยามที่สามประสานฟอร์มฝืด เพราะหากปล่อยสถานการณ์ให้เป็นแบบนี้ต่อไปการลุ้นความสำเร็จทั้งในแชมเปี้ยนส์ ลีก และ พรีเมียร์ลีก อาจจะยากลำบากยิ่งขึ้น
[ ไม่อนุญาตให้คัดลอกรูปภาพหรือนำไปเผยแพร่รูปภาพต่อไม่ว่าวิธีใดๆ ถ้าฝ่าฝืนมีความผิดตามกฎหมายที่ระบุไว้สูงสุด ]