นี่คือหน้าตัวเป้าของสองทีมลุ้นแชมป์ที่ต่างซื้อมาเสริมทัพสู้ศึกซีซั่นนี้แบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน ทั้งที่สองทีมนี้หาได้มีปัญหากับ “จำนวนประตู” ที่ยิงในสองรายการใหญ่ พรีเมียร์ลีกและ ช.ป.ล ไม่..
พรีเมียร์ลีก แชมป์อย่าง ซิตี้ ยิง 99 ลูก รองแชมป์หงส์แดง 94
นั่นสิมีปัญหาตรงไหน หลายทีมยังอยากยิงให้ได้มากเท่านี้เลย
ปริมาณ กับ คุณภาพคือสิ่งที่ โค้ชมองครับ
มันมีความต่าง..โอเค ตัวเลขสถิติก็เรื่องหนึ่ง ยิงมาก, จ่ายมาก, ครอสมาก, วิ่งมากกิโลเมตร แต่สิ่งหนึ่งที่มีความสำคัญคือ “คุณภาพ”
ยิงมาก…แต่พอถึงจังหวะต้องการประตูจริงๆยิงไม่ได้ ยิงไม่เข้า ใช้โอกาสเปลืองหรือไม่คม ทื่อเกินไป
ผมคิดว่า…เป๊ป และ เจเค มองเหมือนกันหลังประเมินทีมตัวเองในฐานะทีมบุกใส่คู่แข่งแบบพับครึ่งสนามหรือ hiligh line defence (แบบBE ถ้าอเมริกา defense)
บอลส่วนใหญ่อยู่ในแดนสองและสามของคู่แข่ง โดยเฉพาะแดนสาม เมื่อต้องสร้างโอกาสในการเข้าไปยิงในทุกแบบ
ทำชิ่ง1-2, ตัวที่สามวิ่งเติม, ครอสด้านข้าง, จ่ายทะลุช่อง, ความสามารถเฉพาะตัว, เซตพีส….ตามที่โค้ชจะออกแบบแทกติกโจมตีแดนสามได้หลากหลาย
แมนฯซิตี้ กับ ลิเวอร์พูล ไม่มีปัญหา เรื่องนี้มากเมื่อเทียบกับผลลัพท์ที่ออกมา แต่เพื่อทำให้มันชัวร์ยิ่งขึ้น พวกเขาจึงเสริม “หน้าเป้า” เพื่อช่วยในการยิงประตูให้เด็ดขาดมากขึ้น
คิดง่ายๆ วิธีการรุกเหมือนซีซั่นที่ผ่านมา ซัดไปทีมละ 90+

ได้หน้าเป้ามาการันตีให้อีก 20+ เชื่อว่าตำแหน่งอื่นๆก็คงลดยอดในการยิงลงไปนะครับ รวมๆ ก็ 100+ แน่ๆถ้าเป็นไปตามเป้า ที่เหลือวัดกันในเกมใหญ่ เกมสำคัญ เกมที่ต้องการประตู
หน้าเป้าคือแทกติกบอลโบราณที่ยังทันสมัยครับ แม้ว่ายอดโค้ชอย่าง เป๊ป และ คลอปป์ ออกแบบแทกติกใช้หน้าปลอม หรือ false nine ที่เล่นคล้ายเบอร์สิบ คือถอนต่ำลงมาเชื่อมเกมกับแดนกลางกับตัวข้าง โดยมีสักคนหนึ่งเข้าไปแทนที่ว่างตรงนั้น แต่วันนี้
เป๊ป และ คลอปป์ สั่งหน้าเป้าเสริม
หน้าเป้า 0ut and 0ut striker หรือ striker ตัวยิงประตูโดยธรรมชาติ ในบอลยุคดั้งเดิม ที่มีหน้าคู่ จะเป็นหน้าเป้ากับหน้าต่ำ อย่างที่ทราบๆกัน ในระบบ 4-4-2 หรือระบบไหนใช้หน้าคู่ ก็ทรงนี้ จะระบบ 4-3-3 ก็ยิ่งมีหน้าเป้าโดดๆในหลายทีม
คุณสมบัติของหน้าเป้าคือ..
1 ร่างกาย แกร่ง ปะทะกลางอากาศหรือแย่งบอลได้ดี, บังบอลมิด (สำคัญมากเลย) มีความเร็ว สปีดหนีกองหลังได้ง่าย ในจังหวะหนึ่งต่อหนึ่ง
2 จบสกอร์ได้เด็ดขาดในทุกส่วนของร่างกาย ในทุกพื้นที่ของกรอบ 18 หลา หรือบางคนเก่งยิงนอกเขตดีก็ถือว่ายิ่งพิเศษ
3 การเคลื่อนที่…ทุกครั้งที่กองกลางหรือกองหลังได้บอล หน้าเป้าพร้อมเคลื่อนที่ หลังเซนเตอร์, หลังฟูลแบ๊ก ภาษาบอลเรียก flag หรือออกไปมุมธง เพื่อรอรับบอล
หรือการวิ่งเติมในเขตโทษ เสาหนึ่ง, เสาสอง เพื่อเข้าไปจบสกอร์ ทั้งเรียดและโด่ง
4สัญชาติญาณ …อันนี้สอนไม่ได้ ขึ้นกับแต่ละคน สอนเทคนิคการยิงได้ วางเท้ายังไง เคลื่อนที่ยังไง สอนได้ แต่สัญชาติญาณของศูนย์หน้าตัวเป้า มันสอนกันไม่ได้จริงๆ
ทั้งหมดที่กล่าวมามีอยู่ในตัวของ เออร์ลิง ฮาแลนด์ และ ดาร์วิน นูเยส และเป็นสิ่งที่ เป๊ป กับ คลอปป์ ต้องการมาเสริมมิติการรุกแดนสามให้หลากหลายยิ่งขึ้น และแน่นอน นักเตะสองคนนี้อยู่ในวัยที่ต้องบอกว่า “พร้อมพัฒนา” ก้าวสู่ระดับโลกต่อไปได้

ฮาแลนด์ ดูจะจับจองไว้พื้นที่ไว้บ้างแล้ว ส่วนดาร์วิน กำลังไล่ตามมา
ทำไมผมเขียน “ดาร์วิน” เพราะกองหน้าที่ชื่อ ดาร์วิน มีคนเดียวเวลานี้ ขนาดเจ้าตัวยังปัก ดาร์วิน ไม่ใช่ นูเยส เลย….5555
ประเด็นคือ…ศึกชิงโล่ที่ผ่านมา เราเห็นอะไร สรุปอะไรได้มั้ย
ทั้งได้และไม่ได้ครับ
เอาแบบสรุปไม่ได้ก่อนครับ จะบอกว่า ฮาแลนด์ ล้มเหลว ดาร์วิน สำเร็จ เพราะแอสซิสต์ (ทำให้ทีมได้จุดโทษนับเป็นแอสซิสต์) หนึ่งยิงหนึ่ง ฮาแลนด์ ยิงชนคาน, ยิงแป้ก , ยิงติดเซฟ หรือจะบอกว่า ดาร์วิน ดีกว่า คงบอกแค่เกมเดียว แต่คงไม่ได้ทั้งหมดครับ
ส่วนที่วัดได้ และสิ่งที่มองเห็นสองคนนี้ ชัดเลย
1 การเคลื่อนที่ แม้ตลอดทั้งเกม ฮาแลนด์ เจอ ฟานไดจ์ ตามประกบติดและไปยาก แค่ ฮาแลนด์ มีโอกาส 3 ครั้งที่ได้ลุ้นประตู จากจังหวะหนี ฟานไดจ์ มาฝั่ง รอบโบ แล้วบังบอลก่อนล้มตวัดยิง และ สอง กระโดดแปบอลแป๊กระย 10 หลาในเขตโทษ ก่อนช่วงทด
เวลา ซ้ำลูกยิง ฟิล โฟเดน โล่งๆชนคาน
หนีตัวประกบได้สามครั้ง…..ยิงไม่ได้เอง นี่คือปัญหา
2 สัญชาติญาณ….สองคนนี้มาเต็มๆ จังหวะที่ ฮาแลนด์ บังบอลและเบียดแย่งกับ รอบโบ ก่อนล้มลง เพราะร่างกายยังไม่ฟิตมาก แต่เขารับตวัดยิงด้วยสัญชาติญาณ เช่นเดียวกันกับการเข้าไปรอจังหวะซ้ำดาบสองทดเวลา ตรงนี้กึ่งๆกับการอ่านจังหวะของเกม
ขณะที่ ดาร์วิน ประตูที่โหม่งเข้าไปนั้นนั่นแหละคือ สัญชาติญาตและธรรมชาติหน้าเป้า ที่แท้จริง วิ่งเข้าจุด ก้มตัวโหม่งลูกยากๆ แบบนั้นระยะเผาขน ดูแล้วนึกถึง ตำนาน เอียน รัช เพชรฆาตหน้าหนวดของชาวหงส์ยุคยิ่งใหญ่

3 การมีส่วนร่วมกับเกม…ตรงนี้ ฮาแลนด์ อาจจะยังไม่ราบรื่นมาก เล่นเป็นเกมที่สองในการอุ่นเครื่อง ขณะที่ ดาร์วิน ดูจะเริ่มปรับตัวได้บ้างแล้ว
ภาพรวมๆใน 90 นาทีของ ฮาแลนด์ มันคือการเรียนรู้แบบแผนการเล่นของทีม และ 30 นาทีของ ดาร์วิน ก็คล้ายๆกันแต่เป็นเพราะ คลอปป์ ต้องการปล่อยเขาเล่นด้วยจำนวนนาทีที่พอเหมาะพอเจาะ และต้องการประคบประหงมไม่ให้สื่อมาจ้องวิจารณ์มากเกินไป
ที่เกิดขึ้นคือโบนัส…เพราะลงมาเป็นตัวสำรองยิงประตูได้ตลอด
ขณะที่ตัวเลขเปรียบเทียบของ opta stat กลายเป็น ฮาแลนด์ ดูดีกว่า
การสัมผัสบอลมากกว่า (16-11), การสัมผัสบอลในเขตโทษ (6-5)การผ่านบอลมากกว่า (9-3) ค่า xG (1.04-0.66)
เป็นเชิงปริมาณ ที่เมื่อมองผลลัพท์เชิงคุณภาพ ดาร์วิน ดีกว่าเฉพาะเกมนี้
ถ้าจะให้เทียบกัน….คหสต ของผมเชื่อว่าสองคนนี้ช่วยยิงประตูได้ 20+ แน่ๆ ที่เหลือรอดู “คุณภาพ” ในการเล่นเมื่อถึงเกมใหญ่ เกมได้เสีย เกมที่สำคัญเมื่อทีมต้องการหน้าเป้าในการช่วยให้เกิดการยิงประตูหรือยิงประตูให้มันซุกก้นตาข่าย
ใครจะดีกว่ากัน
เพียงแต่ว่า…. ณ จุดนี้
จะไปรีบสรุปหรือล้อเลียนตามโลกโซเชียลก็คงบอกไม่ได้ว่า…
ใครล้มเหลวหรือใครสำเร็จกว่ากัน
เรื่องแบบนี้วัดกันตอนจบไม่ใช่ตอนเริ่มครับ
JACKIE