อันเชล็อตติทำสำเร็จ

พลันที่เสียงนกหวีดยาวหมดเวลาดังขึ้นก็มีเสียงเฮดังสนั่นจากบริเวณซุ้มสำรองทีมเยือน ภาพเคลื่อนไหวแรกที่ปรากฎเป็นดันแคน เฟอร์กูสันที่กระโดดตัวลอยโดยจากนั้นก็หันมาหาคาร์โล อันเชล็อตติเพื่อร่วมแสดงความดีใจด้วย ความจริงหากคนเป็นโค้ชอยากจะการกอดคอฉลองไปด้วยก็ดูไม
ทว่าเปล่าเลย สิ่งที่พบกลับเป็นใบหน้าราบเรียบที่อาจมีรอยยิ้มเล็กๆมุมปากจากกุนซือชาวอิตาเลี่ยน เขาเดินเข้าไปจับมือกับเยอร์เก้น คล็อปป์ตามมารยาท ตามด้วยลัดเข้าสนามไปเช็กแฮนด์ทีมงานผู้ตัดสินตามธรรมเนียม
นี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่เจออะไรทำนองนี้จากอันเช่...
ย้อนไปเกมที่โอลด์ แทร็ฟฟอร์ดซึ่งจบระทึก 3-3 หรือว่าเกมเอฟเอ คัพกับท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์สที่ต่อสู้ถึงช่วงต่อเวลาพิเศษก่อนเฉือนเข้ารอบ 5-4 ก็เช่นเดียวกัน ความนิ่งกับความสุขุมของยอดโค้ชผู้เคยได้แชมป์ยุโรปสามสมัยเป็นสิ่งที่น่าทึ่งอย่างยิ่ง
อย่างไรก็ตามสองเกมดังกล่าวเทียบไม่ได้เลยกับเมื่อเย็นของวันเสาร์ นี่เป็นแมตช์แห่งศักดิ์ศรีโดยเฉพาะในนครที่เรียกว่าเมอร์ซี่ย์ไซด์ด้วยแล้วก็มีเอกลักษณ์จำเพาะตัว ในบ้านหลังหนึ่งอาจมีพ่อที่ใส่เสื้อสีน้ำเงินลุ้นอยู่หน้าจอทีวีกับลูกที่สวมเสื้อสีแดงหรือบางทีเป็นสามีภรรยากันแต่เชียร์กันคนละทีมก็ไม่แปลก
นี่ยังเป็นเกมที่ถามเอฟเวอร์โตเนี่ยนทุกคนดูก็คงให้ความรู้สึกคล้ายกันว่า"ต่อให้เล่นดีแค่ไหนก็ไม่ชนะ"ซึ่งจะเชื่อหรือไม่ก็ตามว่าตอนจบครึ่งเวลาแรกนั้นประตูนำ1-0ในนาทีที่ 3 จากริชาร์ลิซอนเป็นลูกที่ออกนำหงส์ยาวนานกว่าตลอด 20 หนก่อนหน้านี้ที่แอนฟิลด์!
ลมพัดแรงมาตลอดวัน เกมดาร์บี้แมตช์ที่ไร้กองเชียร์นั้นทำให้อรรถรสหายไปเกินครึ่งแต่ถึงเวลาผู้เล่นสองฝ่ายก็เดินสู่สนาม ฝ่ายหนึ่งสีแดงและอีกฝ่ายสีน้ำเงิน
ในเพรส คอนเฟอเรนซ์เมื่อวันศุกร์อันเชล็อตติได้พูดเอาไว้อยู่ประโยค"ผมรู้ว่ามันนานมาแล้วที่เราไม่ชนะลิเวอร์พูล มันควรถึงเวลาซะที หวังว่าเราจะทำได้สำเร็จแต่การที่จะทำได้นั้นทุกคนต้องเล่นกันดีที่สุด"
ใช่ครับ มันก็มีเหตุผลที่ทำให้ทีมเยือนที่อยู่ห่างออกไปเพียงสวนสาธารณะคั่นกลางมีความมั่นใจต่อให้จะสะท้านเต็มอกถึงเรื่องสถิติต่างๆ
1. ฟอร์มของทีมแชมเปี้ยนที่ดร็อปลงมา
2. ปัญหาเรื่องตัวบาดเจ็บของเพื่อนบ้าน
3. ฤดูกาลนี้เอฟเวอร์ตันมีผลงานนอกบ้านดีกว่าเวลาเฝ้าบ้าน ก่อนลงสนามเตะนอกบ้าน 11 เกม ชนะ 7 เสมอ 2 แพ้ 2 โดยหนสุดท้ายที่แพ้ก็ยังเกิดขึ้นตอนต้นเดือนพฤศจิกายนอีกด้วย
4. ซีซั่นที่เตะสนามปิด ไม่มีแฟนบอลเข้ามา
5. เมื่อทีมอย่างไบร์ทตันกับเบิร์นลี่ย์ยังบุกมาเอาชนะได้ถึงแอนฟิลด์...ทำไมเอฟเวอร์ตันจะทำไม่ได้?
ขณะเดียวกันการเลือกตัวของอันเชล็อตติยังมาแบบเหนือความคาดหมายเมื่อใส่ชื่อทั้งโดมินิค คัลเวิร์ต-ลูวินกับอัลลันที่ต่างเป็นตัวหลักหายเจ็บมาแล้วเป็นแค่สำรอง เขาเลือกใช้สูตรเดียวกันเกมมิดวีกที่พ่ายให้แมนฯซิตี้กับระบบ 5-3-2 ในเกมรับแต่ยามได้บุกจะปรับเป็น 4-4-2 ทันที
ลูก้าส์ ดีญขยับมาเป็นวิงแบ็ก อีกฝั่งเป็นเชมุส โคลแมนโดยเซนเตอร์ฮาล์ฟสามตัวประกอบด้วยเมสัน โฮลเกต, ไมเคิ่ล คีนและเบน ก็อดฟรีย์ ส่วนคู่กองหน้านั้นเลือกไว้วางใจริชาร์ลิซอนกับฮาเมส โรดริเกวซ
ประตูนำ1-0ก็เป็นการแทงทะลุช่องของฮาเมสไปให้ดาวเตะทีมชาติบราซิลหลุดแผงหลังเจ้าถิ่นก่อนเข้าไปตะบันด้วยขวาลูกพุ่งผ่านมืออลิสซงเข้าไปอย่างงดงาม พอออกนำก็ยิ่งมาเข้าทางแท็กติกที่อันเช่วางไว้เนื่องจากตั้งใจมารับแน่นไว้ก่อนแล้วรอหาโอกาสสวนอยู่แล้ว
เอฟเวอร์ตันเคยใช้หมากเดียวกันนี้ทำได้กับเชลซี, อาร์เซนอล, เลสเตอร์จนถึงลีดส์ ยูไนเต็ดมาแล้ว พวกเขาพอใจที่จะถอยลึกมาวางแนวป้องกัน มีอยู่สถิติที่ถือว่าสรุปเกมออกมาได้ดีเยี่ยมก็คือตลอด 90 นาทีโม ซาลาห์มีโอกาสเพียง 1 หนซึ่งซีซั่นนี้ไม่เคยมีโอกาสน้อยเท่านี้มาก่อนในแอนฟิลด์
ก่อนหน้านี้เคยมีกุนซือหลายคนที่พยายามแล้วพยามยามเล่าแต่ก็ล้มเหลวตั้งแต่เดวิด มอยส์, โรแบร์โต้ มาร์ติเนซ, โรนัลด์ คูมันจนถึงมาร์โก ซิลวา พวกเขาไม่สามารถลบล้างอาถรรพ์ปี 1999 ได้เลย เต็มที่คือแค่เสมอ นอกจากนั้นนับทั้งหมดมอยส์ก็ยังเป็นคนสุดท้ายด้วยที่เคยพาทีมสีน้ำเงินเอาชนะสีแดงในดาร์บี้แมตช์
วันนี้เอฟเวอร์ตันทำได้แล้วภายใต้อันเชล็อตติ...
"ไก่ป่า"