คุณสมบัติทีมจะเป็นแชมป์

ฝนตกที่แมนเชสเตอร์ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจแต่การจัดตัวของเจอร์เก้น คล็อปป์ต่างหากที่ทำให้หลายคนประหลาดใจแม้แต่เจมี่ คาร์ราเกอร์ที่ทำหน้าที่คอมเมนเตเตอร์อยู่ที่เอติฮัด สเตเดี้ยม"ปกติแล้วลิเวอร์พูลยุคคล็อปป์จะเล่น4-3-3ซึ่งแทบไม่เปลี่ยนเลย นี่เป็นเกมที่คล็อปป์ยังพูดก่อนว่ายากที่สุดในโลกดังนั้นการจัดระบบนี้จึงทำให้ผมค่อนข้างเซอร์ไพร์ส"
ระบบ 4-2-4 (ยามรับ4-4-2)ด้วยการส่งดิโอโก้ โชต้าเป็นตัวจริงร่วมกับสามแนวรุกที่ลงประจำกับการมาเยือนรังทีมเต็งหนึ่งก็ย่อมเป็นแท็กติกที่พบเจอไม่ได้บ่อยอยู่แล้ว
ดูจากตำแหน่งการยืนในสนามก็เป็นโรเบร์โต้ ฟิร์มิโน่ที่เป็นกองหน้าคู่กับโม ซาล่าห์โดยที่โชต้าถ่างไปทางริมเส้นด้านขวาและด้านซ้ายก็เป็นความรับผิดชอบของซาดิโอ มาเน่
ก่อนบอลเขี่ยก็มีการโหมโรงหนักหน่วงตามสื่อต่างๆเพราะนี่เป็นสองคู่แข่งที่แย่งแชมป์กันมารอบสองซีซั่นหลังแถมเป็นสองทีมที่กวาดแต้มรวมกัน 375 คะแนน
ครึ่งแรกเป็น45นาทีที่สะท้อนชัดเจนว่าทำไมทั้งแมนฯซิตี้กับลิเวอร์พูลถึงเป็นสองทีมที่ดีสุดของอังกฤษยุคนี้ เกมแลกกันหมัดต่อหมัด ต่างฝ่ายต่างสร้างโอกาสได้หวาดเสียวใกล้เคียงกัน มีการแก้เกมสู้กันตลอดซึ่งอาจมีจังหวะปัญหาเรื่องการตัดสินบ้างแต่ก็ถือว่าธรรมดามากในกีฬาฟุตบอล
ทางเป๊ป กวาร์ดิโอล่าเองเลือกวางสูตร4-2-3-1ลงตามปกติแต่พอเกมผ่านไปได้ 20 นาทีก็สั่งให้เควิน เดอ บรอยน์มาเป็น"ตัวฟรี"มากขึ้นหลังอยู่ทางกราบขวาซะเยอะในตอนแรกซึ่งก็ได้ผลทันที ในเกมที่สตาร์ทีมชาติเบลเยี่ยมถูกจำกัดบทบาทก็เพียงลูกครอสครั้งที่สองก็ทำให้ทีมตามตีเสมอได้และก็มาเรียกลูกโทษจากการแฮนด์บอลของโจ โกเมซได้อีกต่างหาก
"นี่คือเกมฟุตบอลที่ยอดเยี่ยมจากสองฝั่ง ต่างฝ่ายต่างพยายามเปิดเกมรุกเข้าหากันเต็มที่ ผมมีความสุขมากที่ทำให้ซิตี้มีโอกาสจะยิงประตูน้อยมากในวันนี้"คล็อปป์ได้กล่าวไว้หลังเกม
ถึงกระนั้นมันก็มีเรื่องคุณภาพของเกมที่ดร็อปลงไปในครึ่งหลังซึ่งส่วนหนึ่งย่อมมาจากต่างก็ต้องระวังมากขึ้น ไม่มีใครอยากแพ้ในเกมแบบนี้ทว่าอีกเหตุผลก็มาจากสภาพร่างกายที่อ่อนล้าของผู้เล่นสองทีม
นี่คือเกมที่ 12 ของซิตี้ในรอบ 48 วันหรือคิดเฉลี่ยก็ลงสนามทุกๆ 4 วันส่วนทางหงส์แดงเป็นเกมที่ 14 แล้วในรอบ 61 วันหรือเฉลี่ยก็ตกราวทุกๆ 4 วันเท่ากัน
เห็นเทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ต้องลงไปนอนให้ทีมแพทย์มาดูอาการก่อนส่ายหน้ายอมรับว่าฝืนต่อไม่ไหวก็ยังสะท้อนถึงซีซั่นที่เต็มไปด้วยนักเตะบาดเจ็บอันมาจากการเตรียมทีมช่วงปรีซีซั่นน้อยว่าปกติแถมโปรแกรมก็เตะกันถี่เหลือเกิน
จังหวะนั้นแบ็กขวาจอมบุกวัย 22 ปีก็แค่สปรินท์จะตามบอลไปธรรมดาซึ่งปกติแล้วไม่ควรจะต้องล้มลงไปนอนกับพื้นแต่อีกนั่นแหละมันไม่ใช่รายแรกด้วยโดยฤดูกาลนี้ขุดสถิติลงไปจะพบว่ามีตัวเลขผู้เล่นบาดเจ็บสูงกว่าซีซั่นที่แล้วถึง 42% และส่วนใหญ่มาจากปัญหาทางกล้ามเนื้อ!!
เป๊ปเองก็ออกมาพูดด้วยความเป็นห่วงถึงเรื่องนี้"หลังเกมผมได้คุยกับเจอร์เก้น คล็อปป์ถึงกฎเปลี่ยนตัว 5 คนว่าควรกลับนำมาใช้ได้แล้ว คุณเห็นแบ็กขวาทีมชาติอังกฤษเจ็บไปรายล่าสุดไม่ใช่เรื่องดีเลย"
มันจะเป็นได้อย่างไรที่ทุกทีมจะเล่นด้วยนักเตะที่ดีสุดได้ตลอดไปจนถึงเดือนพฤษภาคมปีหน้า? นี่เพิ่งผ่านมาได้แค่7-8เกมเท่านั้นซึ่งก็ไม่ถึง 25%ของระยะทางด้วยซ้ำ
ถึงนาทีนี้ทุกทีมในพรีเมียร์ลีกไม่มีทีมไหนเลยที่ปลอดโรค ทุกทีมต้องมีตัวล้มนอนเตียงพยาบาลกันหมด มาหน่อยก็เช่นพาเลซกับแมนฯยูไนเต็ด 7 คน น้อยหน่อยก็วูล์ฟแฮมป์ตัน 2 คน
นี่เป็นซีซั่นที่หลายคนมองแล้วว่าประตูทุกบานเปิดกว้างมาก ช่องว่างคะแนนใกล้กันชนิดที่แพ้หรือชนะกันเกมเดียวก็สามารถขยับอันดับได้ก้าวกระโดด คิดง่ายๆว่าเลสเตอร์ที่นำจ่าฝูงอยู่ 18 แต้มแต่ห่างจากแมนฯซิตี้ซึ่งอยู่อันดับ11แค่ 6 คะแนนเท่านั้น
จะมีปีไหนอีกที่พรีเมียร์ลีกลุ้นสนุกเท่านี้?
ปัจจัยที่ส่งผลมันเริ่มมาจากการระบาดของไวรัสทำให้มีล็อคดาวน์ต่อมาก็ต้องลงสนามเตะเพื่อให้จบ มีการพักช่วงเบรกน้อยและมีปรีซีซั่นที่ไม่เต็มสูบ แม้แต่ทุกวันนี้ก็ยังมีผู้เล่นจากหลายทีมที่ต้องแยกกักตัวเพราะติดโควิดเลย
ดังนั้นนอกจากคุณจะต้องมีทีมที่ดีแล้ว นี่ก็ยังเป็นฤดูกาลที่ต้องอาศัยขุมกำลังสำรองที่มีศักยภาพมาทดแทนได้ต่อเนื่องด้วย ลำพังแค่11-15คนไม่มีทางพอ สำคัญคือใครที่รักษาร่างกายให้ฟิตได้ที่สุด มีโชคเรื่องตัวบาดเจ็บให้น้อยที่สุดก็จะมีโอกาสมาก
เกมที่เอติฮัดเป็นเกมที่สู้กันสนุกแต่ก็ต้องยอมรับว่ามันสนุกไม่สุดเนื่องจากครึ่งหลังเรื่องอาการล้าได้เป็นปัจจัยที่บั่นทอนคุณภาพลงมา
ผมยังคิดว่านี่ก็ยังเป็นสองทีมตัวเต็งแย่งโทรฟี่ลีกเช่นเดิมเพียงแต่ตัวแปรที่เพิ่มมาในซีซั่นนี้ได้ทำให้ทุกอย่างเป็นไปได้หมด
"ไก่ป่า"