ทำไมหงส์ไม่มีเงินซื้อ

"พวกเราไม่สามารถทำแบบเชลซีได้ แต่ละสโมสรอยู่ในสถานการณ์ที่แตกต่างกันไปแม้ว่าพวกเราจะอาศัยอยู่บนโลกที่ไม่แน่นอนเดียวกันก็ตาม"
"พวกเราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงทีมได้ในข้ามคืนซึ่งสำหรับบางสโมสรนั้นมันอาจให้ความสำคัญน้อยไปเกี่ยวกับเรื่องอนาคตที่ไม่แน่นอนเพราะว่าพวกเขามีเจ้าของเป็นมหาเศรษฐีผู้มีอำนาจหรือว่ามีคนระดับประเทศปกครอง นั่นเป็นความจริง
"พวกเราเป็นสโมสรที่ต่างออกไป พวกเราเข้าถึงรอบชิงแชมเปี้ยนส์ลีกสองปีก่อน, ได้แชมป์ปีถัดมาและได้แชมป์พรีเมียร์ลีก นี่คือพวกเรา"
ข้างบนเป็นบทสัมภาษณ์ล่าสุดของเจอร์เก้น คล็อปป์ที่มีไว้กับสถานีโทรทัศน์บีบีซีซึ่งก็ต้องตอบคำถามที่ค้างคาใจแฟนบอลชาวหงส์มากมายว่าเพราะอะไร??
เพราะอะไรผ่านมาถึงตรงนี้ใกล้รูดม่านเปิดซีซั่นแล้วถึงมีนักเตะใหม่มาแค่คนเดียวแถมเป็นเพียงอะไหล่เท่านั้นด้วย
เพราะอะไรตั้งแต่ปีที่แล้วมาถึงนาทีนี้ทีมถึงลงทุนเรื่องการซื้อผู้เล่นเข้ามารวมไปเพียง 20 ล้านปอนด์เศษ?
เพราะอะไรสโมสรที่คว้ามาทั้งโทรฟี่ยุโรปต่อด้วยพรีเมียร์ลีก มีการเปิดตัวเลขในบัญชีว่ามีรายได้ที่เพิ่มขึ้นทุกปีโดยฤดูกาล2018/19มีเงินเข้าสโมสร 533 ล้านปอนด์ถึงยังต้องต่อรองเงินเพียง 5 ล้านปอนด์กับบาเยิร์น มิวนิคเพื่อแลกผู้เล่นเกรดเออย่างติอาโก้ อัลคานตาร่าเข้ามา?
โอเค ตามที่คล็อปป์ระบุเอาไว้ว่า"ไม่สามารถทำแบบเชลซี"ก็คงหมายถึงว่าทีมของแฟร้งค์ แลมพาร์ดที่เสริมทัพอุตลุดไป200ล้านปอนด์เกิดมาจากโรมัน อบราโมวิช ขณะที่คู่แข่งหมายเลขหนึ่งเรื่องการแย่งโทรฟี่อย่างแมนฯซิตี้ก็จัดออเดิร์ฟไปก่อนแล้วทั้งนาธาน อาเก้40ล้านและเฟอร์ราน ตอร์เรส 21 ล้าน
แล้วแอสตัน วิลล่าล่ะ? เพิ่งทุบสถิติสโมสรล่าโอลลี่ วัตกิ้นส์ กองหน้าฝีเท้าดีมาจากเบรนท์ฟอร์ดในราคา 27 ล้านปอนด์
แล้วนิวคาสเซิ่ลอีกล่ะ? สอยคัลลั่ม วิลสันมาจากบอร์นมัธกับจามาล ลูอิสมาจากนอริชด้วยค่าตัวรวมกันแตะ35ล้านปอนด์
แม้แต่ลีดส์ ยูไนเต็ดที่หายหน้าจากลีกสูงสุดนาน16ปีก็ยังชอปปิ้งกระจายเลยทั้งโรดริโก้(27ล้าน), เอลเดอร์ คอสต้า(16ล้าน), โรบิน คอช(11.7ล้าน)และก็กำลังตกเป็นข่าวว่าน่าจะมีเข้ามาอีกก่อนตลาดปิด
เราเข้าใจกันถูกต้องใช่ไหมว่าลิเวอร์พูลคงไม่ใช่สโมสรเดียวที่โดนผลกระทบจากไวรัส...
คราวนี้ขออนุญาตเจาะลึกลงไปด้วยการเอาตัวเลขในบัญชีของสโมสรตราหงส์มาอธิบายต่อมาโดยนับเฉพาะตลาดซัมเมอร์นี้พวกเขายังมีกำไรร่วม3 ล้านปอนด์ด้วยซ้ำเมื่อเอาทุนที่ปล่อยเดยาน ลอฟเรนกับโอวี่ เอจาเรียออกไปได้มาหักลบกับค่าตัวของตัวใหม่คอนสแตนตินอส ซิมิคาส
มีแค่ไบร์ทตัน, เลสเตอร์, เซาธ์แฮมป์ตันกับเวสต์แฮมเท่านั้นที่ถือว่ามีตัวเลขเป็นบวกเหมือนกับพวกเขา ส่วนที่เหลือนั้นกำลังเร่งเติมความแข็งแกร่งให้ทีมอย่างต่อเนื่อง
ก็เป็นสตอรี่เดิมๆจากซีซั่นที่แล้วเมื่อพวกเขาควักไปเพียง 9 ล้านปอนด์แลกมากับมินามิโนะและเซปป์ ฟาน เดน เบิร์กซึ่งเท่ากับว่ารอบสองปีมานี้ยอดใช้ไปจริงๆก็แค่ 21 ล้านปอนด์ ทางตรงกันข้ามมีรายรับจากการโละผู้เล่นออกไป 52 ล้านปอนด์ซึ่งเท่ากับว่ามีกำไร 31 ล้านปอนด์นับเฉพาะการซื้อขายจากซีซั่นที่แล้วถึงตอนนี้
เทียบกับบิ๊กซิกซ์ด้วยกันก็ห่างไกลมาก...แมนฯยูไนเต็ดติดลบ 155 ล้านปอนด์, แมนฯซิตี้ 118 ล้านปอนด์, สเปอร์ส 122 ล้านปอนด์และอาร์เซนอล 127 ล้านปอนด์ มีเชลซีเท่านั้นที่ถือว่าเป็นบวกอยู่ 7 ล้านปอนด์โดยเหตุผลหลักมาจากการตัดสินใจขายเอดิน อาซาร์กับอัลบาโร่ โมราตาไปให้สองสโมสรของนครมาดริด
อย่างไรก็ตามก็ต้องมาชำแหละต่อถึงรายรับกับรายจ่ายด้านอื่นโดยรายได้ที่เข้ามานับจากซีซั่น2016/17ถึง2018/19มียอดรวมทะลุ1,353 ปอนด์(ปี2017:365 ล้าน, ปี2018:455 ล้าน, ปี2019:533ล้าน)
ขณะเดียวกันค่าจ้างทั้งหมดรวมกับค่าใช้จ่ายจิปาถะเป็นตัวเลขอยู่ที่ 1,061 ล้านปอนด์ซึ่งเมื่อคำนวนเฉพาะตรงนี้เท่ากับว่ายังมีตัวเลขเป็นบวกอยู่ 292 ล้านปอนด์
ใช่ครับ คนส่วนใหญ่มักจะเอาตัวเลขแค่ตรงนี้มาตีแผ่กัน เอาที่เข้ามาหักไปกับที่ขายไปและเอาค่าจ้างที่ต้องให้มาคำนวนอีกทีในภายหลังทว่าแท้จริงแล้วมันก็มีบัญชีในเรื่องอื่นๆอีกที่เกี่ยวข้องทั้งโดยตรงและทางอ้อมที่ทำให้บอร์ดบริหารของสโมสรหนึ่งต้องนำมาชั่งน้ำหนัก
"Player Amortisation"ของลิเวอร์พูลติดลบไป 247 ล้านปอนด์จากสามฤดูกาลดังกล่าว บางคนอาจยังไม่เข้าใจถึงควาหมายของศัพท์ฝรั่งที่อ้างอิงถึงแต่อยากบอกว่ามันมีผลสำคัญสำหรับกฎไฟแน่นเชี่ยล แฟร์เพลย์เพราะมันเป็นตัวเลขที่จะเอามาใช้วัดรายรับ/รายจ่ายของแต่ละสโมสรจริงมากกว่าแค่เอาตัวเลขตอนซื้อหรือขายมาคิดเท่านั้น
ยกตัวอย่างคริสเตียโน่ โรนัลโด้ซึ่งมีราคา100ล้านยูโรตอนโผซบตักยูเวนตุสกับสัญญา4 ปี ก็หมายถึงว่ามูลค่าของซูเปอร์สตาร์ทีมชาติโปรตุเกสนั้นถูกซอยลงได้ปีละ 25 ล้านปอนด์ สมมติว่าผ่านไป2ปีแล้วยูเว่ได้ขายออกได้ราคา 70ล้านปอนด์ซึ่งเท่ากับว่าค่า"amortisation"ของโรนัลโด้เท่ากับ 50 ล้านปอนด์ การจดบันทึกตัวเลขลงไปในรายงานจะเท่ากับว่าเจ้าม้าลายมีกำไร 20 ล้านปอนด์ ไม่ใช่ขาดทุน 30 ล้านปอนด์(ทั้งนี้ปกติก็จะมีการคำนวนถึงค่าเหนื่อยที่ต้องจ่ายต่อปีไปด้วย)
สำหรับแชมเปี้ยนส์ของอังกฤษปีล่าสุดแล้วจึงเท่ากับว่าพวกเขามีกำไรสุทธิจริงเพียง 45 ล้านปอนด์เท่านั้น(เอา 292 ล้านมาลบกับ 247 ล้าน)
ต่อมามันก็ยังไม่จบแค่ตรงนี้เพราะว่ามันก็มีค่ายิบย่อยอื่นๆอีกที่ฝ่ายบัญชีต้องทำออกมาซึ่งสุดท้ายแล้วลิเวอร์พูลมีกำไรก่อนหักภาษีอยู่ที่207ล้านปอนด์โดยในบรรดาบิ๊กซิกซ์ด้วยกันมีแค่สเปอร์สเท่านั้นที่มีกำไรสูงกว่าก่อนหักภาษี
ที่ผ่านมาทางสโมสรก็ลงทุนต่อเติมอัฒจันทร์ฝั่งเมนสแตนด์รวมถึงสร้างสนามซ้อมใหม่แถบเคิร์กบี้ไปอีกด้วยดังนั้นเงินที่พวกเขาเหลือใช้จริงๆหากพิจารณาจากงบดุลเท่านั้นจึงเหลือน้อยมาก นั่นเองเป็นที่มาของบทสัมภาษณ์คล็อปป์กับบีบีซีว่า"ลิเวอร์พูลต่างจากบางสโมสรที่มีมหาเศรษฐีโอบอุ้ม"
คราวนี้ก็อยู่ที่การเลือกมองแล้วว่าคุณจะรู้สึกอย่างไรต่อกลุ่มเฟนเวย์สปอร์ตสซึ่งมีฐานบัญชาการอยู่ที่บอสตันโดยถือครองเป็นเจ้าของทีมเบสบอลบอสตัน เร้ด ซ็อกซ์อีกด้วย
ว่ากันว่าพิษของโควิดส่งผลถึงสถานะการเงินลิเวอร์พูลไม่ต่ำกว่า100ล้านปอนด์ซึ่งเรื่องนี้มีการเปิดเผยเอาไว้จากคนภายในสโมสรต่อสื่อชื่อดังรายหนึ่ง "มันยังไม่ชัดเจนว่าเมื่อไรที่รายได้จากวันแมตช์เดย์ถึงฟื้นฟูกลับมาเหมือนเดิมได้ เราได้แต่รอให้รัฐบาลประกาศเรื่องยอมให้แฟนบอลกลับสู่สนาม มันไม่ใช่แค่เรื่องค่าตั๋วแต่หมายถึงทุกอย่างในวันแข่งต่อคนจำนวน54,000คนที่เข้ามา"
ต้องยอมรับว่าแฟนเชลซีกับแมนฯซิตี้โชคดีที่มีเจ้าของรวยที่พร้อมควักทุนส่วนตัวมาช่วยสร้างทีม ไม่ใช่แค่แต่เรื่องในสนามแต่ยังหมายถึงสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆด้วย ข้อนี้ก็นับรวมเอฟเวอร์ตันภายใต้มิสเตอร์ฟาร์ฮัด โมชิริได้เช่นกัน
ถ้าคุยกันเรื่องการบริหารตามหลักองค์กรแล้วก็ต้องบอกว่าทางกลุ่มเฟนเวย์ไม่ได้ทำอะไรผิดเนื่องจากพวกเขามีตัวเลขที่ชัดเจนว่ามีรายรับเท่าไรและใช้จ่ายออกไปเท่าไร
นั่นเองทำไมคล็อปป์ถึงสะท้านเต็มอกว่าหากอยากได้นักเตะราคาแพงก็ต้องขายที่มีอยู่ออกไปให้ได้ราคาเหมือนกรณีฟิลิปเป้ คูตินโญ่
ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกกับพรีเมียร์ลีกสองใบที่ได้มาจากสองปีหลังพิสูจน์คำกล่าวจากคนวงในรั้วแอนฟิลด์ที่ว่า"ลิเวอร์พูลเหนือกว่าทีมอื่นเพราะว่าพวกเรามีความลงตัวระหว่างคนที่รู้จักฟุตบอลกับคนที่เก่งกาจด้านโปรแกรมเมอร์ส"
การลงทุนที่ยอดเยี่ยมที่สุดของกลุ่มเฟนเวย์ก็ไม่ใช่เวอร์กิล ฟาน ไดค์, อลิสซงหรือโม ซาล่าห์อีกด้วยแต่เป็นการนำพาชายที่นิยมการสวมหมวกเข้ามาปกครองทีม
ลิเวอร์พูลอาจไม่มีเงินซื้อนักเตะแต่พวกเขาสามารถมั่นใจได้ตราบใดคล็อปป์ยังอยู่
แม้ว่าไม่มีใครหรอกที่ไม่อยากใช้เงิน..
"ไก่ป่า"