มู & เคน ณ คลับไก่ ลงเอยอย่างไร?

ตอน โชเซ่ มูรินโญ่ เปิดตัวกับ ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ ในฐานะผู้จัดการทีมคนใหม่ ฟอร์มการเล่นของ "น้องไก่" ร้อนแรงมากนะครับ-ขอบอก
คือชนะ 3 นัดติดต่อกัน โดยกระหน่ำไปถึง 10 ประตู
หลังจากนั้นถึงเข้าอีหรอบเดิม คือชนะบ้าง เสมอบ้าง แพ้บ้าง สลับกันไป
มันเป็นธรรมดาของบอลเปลี่ยนผู้จัดการทีมที่พวกผู้เล่นจะสำแดงความกระตือรือร้นออกมาเป็นพิเศษ เพื่อต้อนรับเจ้านายคนใหม่
ช่วงแรกๆ ที่คุม สเปอร์ส - โชเซ่ มูรินโญ่ ยังไม่ค่อยแสดงความเป็น "เจ้าพ่อรถบัส" ของตัวเองออกมาสักเท่าไหร่ เพราะเดี๋ยวจะเสียเอกลักษณ์ของสโมสรให้ "ยิด อาร์มี่" ด่าซะเปล่าๆ ทว่าหลังจากเวลาผ่านไปได้สักระยะ กุนซือวัย 56 กะรัตผู้นี้ก็กลับมาเป็นตัวของตัวเองอีกครั้ง ด้วยการให้ความสำคัยกับผลการแข่งขันมากกว่าความสนุกสนานของท่านผู้ชม
เกมที่เสมอกับ แมนฯ ยูไนเต็ด 1-1 เมื่อวันศุกร์ที่แล้วนี่แหละครับที่มันสะท้อนถึงความแตกต่างระหว่างผู้จัดการทีมคนเก่ากับคนปัจจุบันออกมาอย่างชัดเจน
ว่าแล้วขอพาทุกท่านย้อนเวลากลับไปในเกมระหว่าง "คลับไก่" กับ "ปีศาจแดง" ที่ ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ สเตเดี้ยม เมื่อฤดูกาลก่อน
สเปอร์ส จากการทำงานของ เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ บุกกระหน่ำใส่ผู้มาเยือนอยู่ข้างเดียวจนแทบจะต้องใช้รูตูดช่วยหายใจ โดย ดาบิด เด เคอา ทำสถิติเซฟมากที่สุดครั้งหนึ่งในอาชีพการเฝ้าเสาเลยทีเดียว
บุกหนักเป็นพายุอุกาบาตถล่มหัวหมา แต่กลับแพ้แบบคาบ้าน...ซะอย่างนั้น
ส่วนเกมเมื่อคืนวันศุกร์ที่แล้ว ช่วงแรกเป็น สเปอร์ส ที่ดูดีกว่าเล็กน้อย
กระทั่งได้ประตูขึ้นนำเท่านั้นแหละ
กลายเป็นพลพรรคปีศาจแดงที่บุกกระหน่ำอยู่ข้างเดียวจนตีเสมอได้สำเร็จ
สเปอร์ส ถึงกลับมาบุกอีกครั้ง
เรื่องนี้แสดงให้เห็นว่าถ้าเล่นเกมรุกซะอย่าง มันก็ไม่มีปัญหาอะไรนี่หว่า ทว่าเครื่องหมายการค้าของ โชเซ่ มูรินโญ่ คือการวิธีการเล่นแบบเน้นผลบนความรัดกุม โดยรูปแบบการเล่นและการจัดตัวผู้เล่นจะเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ ณ ขณะนั้น อันขึ้นอยู่กับคู่แข่งเป็นสำคัญ
สมัยแหวกมดลูกมาแจ้งเกิดในวงการลูกหนังใหม่ๆ ด้วยการเสกให้ ปอร์โต้ คว้าแชมป์ ยูฟ่า คัพ (ยูโรปา ลีก ในปัจจุบัน) เมื่อ 2003 คอลัมนิสต์ลูกหนังผู้มีอาการทางจิตเล็กน้อยอย่างผมขูดความจำได้ว่าลูกทีมของ "มูมู่" เน้นเกมรุกมากกว่าเกมรับ
ฤดูกาล 2003-04 ทีมนอกสายตาอย่าง ปอร์โต้ ก็เล่นไปตามจังหวะแบบนัดต่อนัด รูปแบบการเล่นขึ้นอยู่กับคู่แข่ง เช่นเจอ แมนฯ ยูไนเต็ด พวกเขาก็ไม่ได้เปิดเกมรุกบุกแลกหมัดแบบเต็มตัว ตรงกันข้ามกับการเจอ โมนาโก ในนัดชิงชนะเลิศ
จุดนี้บอกเราว่า โชเซ่ มูรินโญ่ ไม่ใช่กุนซือประเภท "เจ้าพ่อรถบัส" มาตั้งแต่แรก มิหนำยังถือกำเนิดมาจากทีมที่เน้นเกมรุกบนความสวยงามและดุดันอย่าง บาร์เซโลน่า อีกต่างหาก
เขาเคยเป็น "ล่าม" ของ บ๊อบบี้ ร็อบสัน ก่อนเลื่อนขั้นขึ้นมาเป็น "ผู้ช่วย" แน่นอนว่าย่อมได้รับอิทธิพลจากปรัชญาการเล่นแบบ "บาร์ซ่า" มาพอสมควร ก่อนจะเป็น "มือขวา" ของ หลุยส์ ฟาน กัล ที่ให้ความสำคัญกับเหลี่ยมเล่ห์และกลยุทธ์บนความมีระเบียบวินัยมากกว่าปล่อยให้ลูกทีมใช้จินตนาการเพียงอย่างเดียว
เมื่อสุกงอมจนได้ดีและมีชื่อเสียงโด่งดังจนเป็นที่รู้จัก - หลักการของกุนซือเจ้าของสมญา "เดอะ สเปเชี่ยล วัน" ผู้นี้คือรับให้แน่น และเสียประตูให้ยากเอาไว้ก่อนเป็นอันดับแรก
หลังจากนั้นก็เป็นหน้าที่ของผู้เล่นในแผนกเกมรุกในการทำให้ทีมเป็นผู้ชนะ
ตอนอยู่กับ เชลซี รอบแรก - ทีมสิงห์น้ำเงินมีเกมรับเหนียวแน่นบรรลัยจากการเล่นคู่กันของ จอห์น เทอร์รี่ กับ ริคาร์โด้ คาร์วัลโญ่ โดยมีมิดฟิลด์ตัวตัดเกมอย่าง โคล้ด มาเกเลเล่ แถมยังมีนายทวารด่านสุดท้ายอย่าง ปีเตอร์ เช็ก อีกต่างหาก ขณะที่ในเกมรุกเขามี ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา เป็นจุดศูนย์กลางของจักรวาล
เวลาเกมมันตื้อๆ เวลาคิดอะไรไม่ออกก็โยนๆ เปิดๆ ไปให้กองหน้าผู้นี้เดี๋ยวก็ทำลายตาข่ายได้เองนั่นแหละ
ตอนกลับมาที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์ อีกครั้งเป็นคำรบที่ 2 เมื่อฤดูกาล 2013-14 ตอนนั้น เชลซี มีปัญหาเรื่องกองหน้า เพราะ เฟร์นานโด ตอร์เรส ถูกวิญญาณสากกะเบือเข้าสิงร่าง - เดมบ้า บา ก็พึ่งได้บ้าง พึ่งไม่ได้บ้าง - ซามูเอล เอโต้ ก็ใบไม้ร่วงกาลเวลาจนต้องไปซื้อ ดิเอโก้ คอสต้า มาจาก แอต.มาดริด มาล่าประตูในฤดูกาลต่อมา
ด้วยศูนย์หน้าระดับตีนพระกาฬที่เข้ามาเติมเต็มเพียงตัวเดียว สามารถช่วยให้ เชลซี คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้สำเร็จทันที
มันจึงกลายเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของกุนซือจอมอหังการ คือนอกจากเกมรับจะต้องเหนียวแน่นหนึบ เขาต้องมี "หัวหอก" ประเภทคู่บุญเอาไว้ทะลวงตาข่ายให้สิ้นซาก
ตัดภาพกลับมาในปัจจุบัน
แผนกเกมรุกของ สเปอร์ส ถือว่ามีอาวุธครบมือ เฉพาะอย่างยิ่งผู้เล่นในตำแหน่งศูนย์หน้าตัวเป้า
เพราะ แฮร์รี่ เคน ก็เป็นกองหน้าที่จัดอยู่ในประเภทตีนมหาวินาศคนหนึ่ง ซึ่งไม่เป็นรองใครในพรีเมียร์ลีก
นอกจากนี้ยังมี ซน ฮึง มิน มี เดเล่ อัลลี มี ลูกัส มูร่า มี เอริก ลาเมร่า และมี สตีเว่น เบิร์กไวน์ ให้เลือกใช้ตามสถานการณ์อีกต่างหาก
ปัญหาคือเกมรับที่ไม่ค่อยแข็งแกร่งสักเท่าไหร่ และเสียประตูง่าย เหตุเพราะ โทบี้ อัลเดอร์ไวเรลด์ กับ แยน แฟร์ต็องเก้น ผ่านพ้นช่วงท็อปฟอร์มของตัวเองไปเรียบร้อย ขณะเดียวกับที่ ดาวิซอน ซานเชซ กับ เอริก ดายเออร์ ก็ไว้ใจอะไรไม่ได้อยู่แล้วจนสามารถสังเกตได้ว่าน้ามูแกเปลี่ยนแผงหลังไปเรื่อย เพื่อหาความลงตัวที่สุดให้ได้นั่นแหละ เพียงแต่ดูแล้วมันน่าจะจบที่การซื้อกองหลังตัวใหม่ซะมากกว่า
เท่านั้นไม่พอยังมีการตั้งข้อสังเกตว่า แฮร์รี่ เคน เหมือนไม่ค่อยมีความสุขและเสียวซ่านสักเท่าไหร่ เนื่องเพราะปรัชญาการเล่นของ โชเซ่ มูรินโญ่ ทำให้กองหน้าผู้นี้มีส่วนร่วมกับเกมน้อยไปหน่อย ยกตัวอย่างเกมกับปีศาจแดงที่เหมือนถูกเอเลี่ยนลักพาตัวไป
ด้วยรูปแบบการเล่นของ มูรินโญ่ ที่เป็นขั้วตรงกันข้ามกับ เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ อาจส่งผลให้ดาวซัลโวประจำทีมอย่าง แฮร์รี่ เคน เกิดอาการอัดอั้นตันตูด เพราะไม่ได้เล่นเกมรุกแบบเต็มตัว และจำนวนประตูที่เคยถล่มได้อย่างเป็นกอบเป็นกำก็อาจจะลดน้อยลงไปจนบางทีอาจกลายเป็นเหตุให้ดาวยิงผู้นี้อยากถีบตัวเองออกจากเครื่องแบบของคลับไก่
จริงๆ สถิติการกะซวกตาข่ายของ แฮร์รี่ เคน นับตั้งแต่ โชเซ่ มูรินโญ่ เข้ามาเป็นนายใหญ่ของคลับไก่มันก็ไม่ได้บัดซบอะไรเลยนะครับ
คือลงเล่น 12 นัดในทุกรายการ ยิงได้ 8 ประตู
เกมรุกของ สเปอร์ส ยังจัดจ้านเหมือนเดิมนะครับ แม้ปรัชญาการเล่นของ โชเซ่ มูรินโญ่ จะเน้นผลการแข่งขันบนความรัดกุมเป็นสำคัญ หากได้กองหลังที่แข็งแกร่งกว่าเดิมมาเสริมเกมรับ - เกมรุกก็จะยิ่งทำงานได้เต็มประสิทธิภาพมากขึ้น
ฉะนั้น & ฉะนี้
ขอฟันธงว่าฤดูกาลหน้า ดาวยิงสมญา "เจ้าชายแฮร์รี่" จะยังไล่ล่าประตูให้เจ้านายใหม่อย่าง โชเซ่ มูรินโญ่ แน่นอนอีกอย่างน้อย 1 ฤดูกาล
แต่ถ้า สเปอร์ส ยังไม่ได้แชมป์อะไรอีก
มันถึงเวลาที่กองหน้าวัย 26 ปีผู้นี้จะต้องคิดถึงความสำเร็จแล้วล่ะครับ
บอ.บู๋