วีธีปลุกปีศาจแดง

วันก่อนมีคนถามผมบนโต๊ะอาหารว่าเมื่อไหร่ แมนฯ ยูไนเต็ด จะกลับมา?
อืมมมมมม....ใจจริงอยากถามกลับไปเหมือนกันว่า "แล้ว แมนฯ ยูไนเต็ด ไปไหนเหรอ?" แต่เกรงว่าคนถามเขาอาจจะชง 40 ดีกรีผสมส้นตีนให้ผมแดกส์แทนโซดาเสียก่อนเลยจำเป็นต้องเก็บมันเอาไว้ในใจ
คำนวณดูแล้ว ผมตอบว่าบางทีอาจจะร่วมๆ สิบปีเลยทีเดียว เพราะหากมองจากจุดที่ปีศาจแดงยืนอยู่กับจุดที่ แมนฯ ซิตี้ กับ ลิเวอร์พูล ยืนอยู่ในตอนนี้ มันช่างห่างไกลกันเหลือเกิน
...ว่าแล้วดูตัวอย่างจาก ลิเวอร์พูล ดีกว่า
เบื้องต้นจากสิ่งที่บังเกิดขึ้นในฤดูกาลนี้ทั้งการสะสมได้ถึง 97 แต้มในพรีเมียร์ลีก และการคว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก อย่างยิ่งใหญ่
ขอวิสาสะว่าอดีตมหาอำนาจลูกหนังอังกฤษอย่าง ลิเวอร์พูล กลับมาแล้วนะครับ แม้จะมี แมนฯ ซิตี้ มาคอยถ่วงดุลย์อำนาจ โดยยังไม่อนุญาตให้เป็นแชมป์พรีเมียร์ลีก แต่คาดว่าภายในเวลา 2-3 ปี หรือบางทีอาจเป็นฤดูกาลหน้า พลพรรคหงส์แดงผู้อหังการจะกลับมาคว้าแชมป์ลีกสูงสุดของประเทศที่ตัวเองรอคอยได้อีกครั้งอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม
กว่า ลิเวอร์พูล จะเจอผู้กอบกู้ตัวจริงอย่าง เจอร์เก้น คล็อปป์ พวกเขาก็ต้องใช้เวลานานกว่า 25 ปี หลังสิ้นยุคเรืองอำนาจของตนเอง
นับตั้งแต่ เคนนี่ ดัลกลิช ตัดสินใจถีบตัวเองออกจากตำแหน่งผู้จัดการทีมหงส์แดงแบบกลางคันในฤดูกาล 1990-91 ลิเวอร์พูล ยังพยายามรักษาขนบธรรมเนียมและประเพณีของตัวเองด้วยการใช้ "คนใน" มาสืบทอดบทบาทเจ้านายใหญ่ จึงการกระชากลูกหม้ออย่าง แกรมม์ ซูเนสส์ กลับมารับตำแหน่ง
นั่นคือความผิดพลาด
เพราะกุนซือที่มีชื่อเล่นว่า "ซูอี้" ดันเปลี่ยน ลิเวอร์พูล จากทีมที่เล่นด้วยความสวยงามกลายเป็นทีมที่อุดมด้วยนักเตะที่ไม่เข้ากับระบบและสไตล์การเล่นอย่าง นีล รัดด็อก หรือ จอห์น สเกลส์
เมื่อเห็นว่าคงไปด้วยกันไม่ได้ สมาชิกบูธรูมสต๊าฟฟ์ที่อยู่หลังบ้านมาตลอดอย่าง รอย อีแวนส์ จึงถูกดันขึ้นมารับตำแหน่งแทน
อาการของ ลิเวอร์พูล ก็ยังไม่ดีขึ้นสักเท่าไหร่ได้เพียงแค่แชมป์ มิคกี้เม้าส์ คัพ สำหรับคุณหนูๆ นั่นจึงนำมาซึ่งการตัดสินใจกระทืบขนบของตัวเองด้วยการสถาปนากุนซือชาวต่างชาติคนแรกในประวัติศาสตร์อย่าง เชราร์ อูลลิเย่ร์ เข้ามาเป็นผู้จัดการทีมร่วม ก่อนขึ้นครองตำแหน่งแบบเดี่ยวๆ ในเวลาต่อมา
"เฮียโปน" นี่แหละที่นำระบบหลัง 3 มาติดตั้งให้ ลิเวอร์พูล วิธีการเล่นก็เน้นเกมรับเหนียวแน่น วิง-แบ็ค 2 ข้าง ไม่เติมเกมขึ้นไปเกินครึ่งสนาม ไม่เชื่อไปถาม เจมี่ คาราเกอร์ ได้เลยว่าตอนเล่นเป็น "วิงแบ็ค" หรือ "ฟูลแบ็ค" เคยขึ้นมาเปิดบอลจากริมเส้นหลังบ้างหรือเปล่า
หลังจากนั้น ราฟาเอล เบนิเตซ ผู้สร้างชื่อมาจากการเสกให้ บาเลนเซีย โค่นอำนาจของ เรอัล มาดริด กับ บาร์เเซโลน่า ใน ลา ลีกา มาเป็นกุนซือหงส์แดง
กุนซือหนวดเปิดตัวฤดูกาลแรกด้วยการนำ ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์ยุโรปอย่างมหัศจรรย์ทันทีในปี 2005 ก่อนคว้าแชมป์ เอฟเอ คัพ ในฤดูกาลต่อมา กระทั่งช่วยให้ลูกทีมลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกในฤดูกาล 2008-09
เหมือนมีความหวังนะครับ แต่สุดท้ายก็ไปกันไม่รอดอยู่ดี
รอย ฮ็อดจ์สัน ถูกดึงเข้ามาท่ามกลางเสียงหัวเราะอย่างขบขัน กุนซือรุ่นคุณลุงทำหน้าที่ได้ไม่ถึง 6 เดือนก็โดนตะเพิดออกจากตำแหน่ง โดย ลิเวอร์พูล มอบตำแหน่งนายใหญ่คนใหม่ให้กุนซือคนเก่าอย่าง เคนนี่ ดัลกลิช เหมือนต้องการให้พี่แกแก้ไขความผิดพลาดที่ตัวเองก่อขึ้นในอดีต
ระดับ "คิง เคนนี่" ก็ยังช่วยอะไรไม่ได้ เพราะยุคสมัยมันเปลี่ยนไปแล้ว จึงมาถึงคิวของ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส กุนซือหนุ่มไฟแรงอีกคนที่มีรูปแบบการทำทีมที่ชัดเจนจนเกือบเสกให้ ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้สำเร็จอยู่รอมร่อ
แต่สุดท้าย "บี-ร็อดส์" ก็ทำให้ "เดอะ ค็อป" เกิดอาการอยากกระโดดถีบหน้าคนจนได้ เมื่อทะลึ่งทำให้ขวัญใจของพวกเขาอย่าง สตีเว่น เจอร์ราร์ด ไม่ได้ชื่อว่าเป็นผู้เล่นของ ลิเวอร์พูล เพียงสโมสรเดียว
ตุลาคม 2015 เจอร์เก้น คล็อปป์ จึงสับตีนในจังหวะโลหะหนักมาจากเยอรมันพร้อมเสียงซาวด์แทร็คจากวง แบล็ค ซ๊าบบาธ ที่หนักหน่วงปานภูผาถล่มทลาย
"มิสเตอร์เจเค" สร้างทีมด้วยการวางรากฐานและติดตั้งระบบการเล่นที่เมามันจนเรียกได้ว่าเป็น "เรด แมชชีน" ในอีกรูปแบบหนึ่ง แล้วค่อยๆ แก้ไขปัญหาพลางกำจัดจุดอ่อนไปทีละจุดจนพบทีมที่ดีที่สุด และสมบูรณ์ที่สุดในฤดูกาลที่ผ่านมา
แน่นอนว่ากว่าจะได้รับรางวัลตอบแทนความมานะ มันก็ต้องใช้เวลาและความอดทน
จึงพอจะสรุปเบื้องต้นได้ว่าไอ้ที่ ลิเวอร์พูล กลับชาติมาเกิดใหม่อีกครั้ง เพราะเจอผู้จัดการทีมที่ใช่ในที่สุด
ทีนี้ไปดู แมนฯ ซิตี้ ในยุคอาหรับมันนี่บ้าง
ด้วยความมั่งคั่งและร่ำรวยของโอรสเจ้าอาหรับ อนุญาตให้พวกเขาประสบความสำเร็จด้วยทางลัด โดยผู้จัดการทีมอย่าง โรแบร์โต้ มันชินี่ และ มานูเอล เปเยกรีนี่ แต่ แมนฯ ซิตี้ เป็นแชมป์แบบมีสไตล์มากที่สุดตอนมี เป๊ป กวาร์ดิโอล่า เป็นกุนซือนี่แหละ
ระบบการเล่นชัดเจนว่าเป็นแบบไหน โดยผสมผสานความสวยงามอย่างสร้างสรรค์กับความเขี้ยวลากดินเข้าด้วยกันอย่างกลมกลืน - เรือใบสีฟ้าของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ในสายตาของผู้ชมทางบ้านอย่างผมจึงไม่ต่างจากโคตรทีมไร้เทียมทาน
นี่คือผู้จัดการทีมที่เก่งที่สุดในประวัติศาสตร์ของ แมนฯ ซิตี้
นาทีนี้ทั้ง ลิเวอร์พูล กับ แมนฯ ซิตี้ จึงมีอะไรเหมือนกันอยู่อย่าง นั่นคือพวกเขามีผู้จัดการทีมระดับอ๋อง แถมด้วยการสนับสนุนที่ดีจากเบื้องบน
สำหรับ แมนฯ ยูไนเต็ด
พวกเขาพลาดมหันต์ที่คนมาแทน เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ดันมีระยะห่างมากเกินไป ไม่ว่าจะเป็นความสามารถและบารมี
พอมันผิดเพี้ยนมาตั้งแต่ต้น ปลายมันเลยบิดเบี้ยว
คิดง่ายๆ หากคนที่มารับช่วงต่อจากป๋าตอนนั้นคือ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า หรือ เจอร์เก้น คล็อปป์ หรือโดยไม่เว้นแม้แต่ โชเซ่ มูรินโญ่ เดาได้ว่ามันน่าจะดีกว่านี้แน่ๆ
หลุยส์ ฟาน กัล ไม่ใช่กุนซือที่เหมาะสมกับปีศาจแดง เมื่อดูจากวิธีการ และดูเหมือน โชเซ่ มูรินโญ่ จะมาที่ โอลด์ แทรฟฟอร์ด ช้าเกินไปหน่อย
ส่วน โอเล่ กุนนาร์ โซลชา เราต่างรู้อยู่แก่ใจนั่นแหละว่ายังไม่น่าจะใช่ ต่อให้เสริมด้วยผู้เล่นใหม่ 4-5 ตำแหน่ง ฤดูกาลหน้า แมนฯ ยูไนเต็ด ก็ยังน่าจะยังไล่ตาม แมนฯ ซิตี้ กับ ลิเวอร์พูล ไม่ทันอยู่ดี แต่ในเมื่อมอบตำแหน่งผู้จัดการทีมแบบถาวรให้ไปแล้วคงต้องให้โอกาสและเวลาอีน้าแกพิสูจน์ตัวเองไปก่อน
การสร้างทีมใหม่มันต้องใช้เวลานะครับ ถ้ายังไม่ใช่ ก็คงต้องมาเริ่มต้นกันใหม่ แล้วก็เฝ้ารอต่อไปอีกเหมือนเดิม - เหมือนที่เคยเกิดขึ้นกับทั้งตัวเองและ ลิเวอร์พูล
ดังฉะนั้นการเลือกผู้จัดการทีมนี่แหละครับที่มีความสำคัญมากที่สุดเป็นอันดับแรกต่อความสำเร็จของสโมสร
ประวัติศาสตร์บอกว่าในเมื่อยังไม่ใช่ มันก็ต้องรอต่อไปหรือค้นหาต่อไปจนกว่าจะเจอคนที่ใช่ เพียงแต่กว่าจะเจอคนที่ใช่มันก็มีปัจจัยมากมายหลายอย่างเหลือเกิน
บางที แมนฯ ยูไนเต็ด อาจต้องรอว่าเมื่อไหร่ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า จะเบื่อที่เดิม หรือเดินทางถึงจุดสูงสุดกับ แมนฯ ซิตี้ แล้วมองหาความท้าทายใหม่ๆ เหมือนที่เคยแสดงให้เห็นมาตลอด
และบางทีการกระชากปีศาจแดงกลับมาจากอเวจีมหานรกอาจเป็นความท้าทายสำหรับเขาก็ได้
หรือไม่ก็ต้องหาทางลักพาตัว เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ มาจาก สเปอร์ส ให้ได้พร้อมมอบอาวุธให้เขาอย่างครบมือมากกว่าตอนที่อยู่กับคลับไก่
อีกวิธีหนึ่งคือหวังว่า แมนฯ ยูไนเต็ด จะถูกหวยเบอร์ใหญ่เหมือนเพื่อนบ้านผู้น่ารำคาญของตัวเอง
วันก่อนตอนที่มีข่าวว่า นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด กำลังจะได้เจ้าของคนใหม่ระดับเจ้าชายแห่งทะเลทรายผู้เป็นลูกพี่ลูกน้องกับเจ้าของทีมสีฟ้าแห่งแมนเชสเตอร์
ผมก็เลยคิดเล่นๆ ตามประสาคนหมดอารมณ์ทางลูกหนังว่าท่านจะไปซื้อทีมสาลิกาดงทำไมพะย่ะค่ะ
เข้าใจว่ามูลค่าของ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด น้อยกว่า แมนฯ ยูไนเต็ด ถึง 10 เท่า แต่เมื่อดูทรัพย์สินของโอรสเจ้าอาหรับผู้นี้ที่มีเป็นล้านล้านบาทแล้ว
มูลค่าประมาณ 3,000 ล้านปอนด์ (ประมาณหนึ่งแสนสองหมื่นล้านบาท) ของสโมสรปีศาจแดงคงไม่ทำให้ขนหน้าแข้งร่วงสักเท่าไหร่
คิดดูนะครับ (กอบกู้) ทำทีมในเมืองเดียวกันมาแข่งกับญาติตัวเอง
มันจะดราม่าขนาดไหน?
นี่คือ 2 วิธีที่พอจะปลุกปีศาจแดงให้กลับมาในตอนนี้
บอ.บู๋