นิทานหลอกเด็กเรื่องเงินซื้อทุกอย่างไม่ได้!

กลายเป็นข่าวใหญ่ในแวดวงสื่อเมืองผู้ดีอีกครั้งเมื่อมีการรายงานว่าโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมานมกุฎราชกุมารแห่งซาอุดิ อาระเบียมีพระราชประสงค์ที่จะเทคโอเวอร์แมนฯ ยูไนเต็ดจากตระกูลเกลเซอร์
ต่อเรื่องที่ว่านี้ หากใครติดตามข่าวสารฟุตบอลพรีเมียร์ลีกเป็นประจำคงรู้ดีว่าไม่ใช่ครั้งแรกที่สื่ออังกฤษละเลงข่าวชิ้นนี้ แต่พวกเขาเคยลือมาก่อนแล้วไม่ต่ำกว่าหนึ่งครั้งด้วยซ้ำ และเรื่องราวก็เงียบหายไปกับสายลมอย่างที่พอจะคาดเดากันได้
อย่าว่าแต่แมนฯ ยูไนเต็ดเลย ลิเวอร์พูลก็เคยโดนลือว่ากลุ่มทุนจากอาหรับพร้อมทุ่มเงินซื้อสโมสรไปจากเจ้าของชาวอเมริกันเช่นกัน และทำให้สาวกหงส์แดงกรี๊ดกร๊าดกันยกใหญ่ที่ทีมรักจะมีเงินให้ชอปปิ้งนักเตะนามกระเดื่องแบบไม่ยั้งเฉกเช่นแมนฯ ซิตี้
แต่ถึงวันนี้ มันได้รับการพิสูจน์แล้วว่าข่าวดังกล่าวไม่มีมูลความจริงเพราะมันไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆแม้แต่น้อย
กลับมาที่แมนฯ ยูไนเต็ดในหนล่าสุด มีการเพิ่มประเด็นให้น่าฮือฮายิ่งขึ้นว่าเจ้าชายซาอุฯ ทรงเสนอเงินให้เจ้าของผีแดงชาวอเมริกันพิจารณาเพิ่มเป็น 3.8 พันล้านปอนด์หมายให้ใจอ่อนยอมขายสโมสร
แต่ไม่ทันที่จะมีการชี้แจงแถลงไขใดๆจากฝ่ายตระกูลเกลเซอร์ ก็ปรากฏว่ารัฐมนตรีของซาอุออกโรงยืนยันผ่านทวิตเตอร์ด้วยการใช้คำที่ค่อนข้างแรงว่าข่าวชิ้นดังกล่าวเป็น "ข่าวเท็จ"
กล่าวคือเจ้าชายไม่มีพระราชประสงค์เทคโอเวอร์ถิ่นโอลด์ แทรฟฟอร์ด และที่มีการเจรจากับแมนฯ ยูไนเต็ดก็เป็นเรื่องการทำธุรกิจกันเท่านั้นเนื่องจาก "ซาอุดิ เทเลคอม" เป็นหนึ่งในสปอนเซอร์อย่างเป็นทางการของผีแดง
จริงหรือไม่ก็แล้วแต่ใครจะคิดเพราะบางทีเจ้าชายอาจทรงอยากได้ครอบครองแมนฯ ยูไนเต็ดก็ได้ใครจะไปรู้
แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ที่แน่ยิ่งกว่านั้นก็คือต่อให้มีการยื่นข้อเสนอ ก็เชื่อเหลือเกินว่าตระกูลเกลเซอร์ไม่มีความคิดที่จะขายแมนฯ ยูไนเต็ดแน่นอน
ไม่ว่าจะด้วยราคาไหนทั้งนั้น
เข้าทำนอง "เงินซื้อทุกอย่างไม่ได้"
แต่บางคนอาจแย้งว่า "หากไม่มากพอ"
จริงอยู่ที่ว่าเงินคือพระเจ้า และสามารถจ้างผีโม่แป้งก็ยังได้ แต่มันคงไม่ใช่คำตอบสุดท้ายของทุกกรณี
ทั้งนี้ ลองถามใจตัวเองดูก็ได้ว่าหากคุณประสบความสำเร็จถึงขนาดได้เป็นเจ้าของทีมลูกหนังที่โด่งดังที่สุดทีมหนึ่งของโลกอย่างแมนฯ ยูไนเต็ดแล้ว คุณจะคิดขายมันทิ้งแบบง่ายๆหรือ
ฉันใดก็ฉันนั้น มันคงไม่ต่างอะไรกับนักเลงพระหรือเซียนพระเครื่องซึ่งหากได้ครอบครองพระสมเด็จฯสักองค์ก็คงไม่ต้องการเงินก้อนโตแม้จะมีใครเสนอเงินให้สักกี่ล้านก็ช่าง
และสำหรับตระกูลเกลเซอร์ อย่าลืมว่าพวกเขาไม่ใช่ยาจก และมีทรัพย์สินเงินทองไม่แพ้ใคร เงินจึงไม่น่าจะมีความหมายสำหรับพวกเขามากไปกว่าการได้ครอบครองสโมสรฟุตบอลชั้นแนวหน้า
ยิ่งแมนฯ ยูไนเต็ดเป็นเหมือนแบรนด์ที่ขายได้ และทำกำไรได้โดยตลอด มันจึงถือเป็นการลงทุนระยะยาวสำหรับมหาเศรษฐีที่มองว่ากินน้อยๆ แต่กินได้นานๆย่อมดีกว่าที่จะขายทิ้งเพื่อแลกกับการรับเงินก้อนเดียวแล้วก็จบกันไป
แต่ทั้งนี้ อะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับ "วัฒนธรรมการขายข่าว" ของสื่ออังกฤษซึ่งทุกฉบับจะมีธรรมเนียมปั้นข่าวใหญ่ขึ้นมาสร้างความฮือฮาเป็นประจำในทุกๆฉบับวางแผงวันอาทิตย์
สำหรับใครที่เคยใช้ชีวิตที่นั่น จะรู้ดีว่าหนังสือพิมพ์ฉบับวันอาทิตย์มักมีการนำเสนอประเด็นข่าวที่ชวนให้น่าช็อคเสมอ และก่อให้เกิดความน่าสงสัยเช่นกันว่ามันสามารถเชื่อถือได้หรือเปล่า
เช่นกันที่ข่าวระหว่างเจ้าชายซาอุฯกับผีแดงหนล่าสุดก็อุบัติขึ้นในหน้าสื่อฉบับประจำวันอาทิตย์พอดี
จึงอาจพอจะสรุปได้กระมังว่ามันคือ "นิทานหลอกเด็ก" ประจำวีคเอนด์ของเมืองผู้ดีนั่นเอง