หงส์ vs เรือ vs ไก่

สถานการณ์ล่าสุดของการเชือดเฉือนแชมป์พรีเมียร์ลีกประจำฤดูกาลนี้แทบไม่ต่างจากศึก 3 เส้าเขย่าเจ้าโลกด้วยความเร็วสูง
"ความหวังของชาวโลก" อย่าง แมนฯ ซิตี้ กลับขึ้นมานำเป็นจ่าฝูงอีกครั้ง ด้วยผลต่างประตูได้-เสียที่ดีกว่า แต่ต้องไม่ลืมเช่นกันว่าพวกเขาลงเล่นมากกว่าทีมอื่นอยู่ 1 นัด ขณะที่ลิเวอร์พูลถูกเบียดหล่นลงมาเป็นรองจ่าฝูงก็จริง แต่สถานการณ์ยังไม่ถือว่าเลวร้ายอะไรมากมาย หากคิดตามหลักคณิตศาสตร์ของคุณครูแสวง (นามสมมุติ) เพียงทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นใน 2 เกมล่าสุดที่หลุดเสมอคู่แข่งแสดงให้เห็นว่าฟอร์มการเล่นของพวกเขามันชักจะยังไงๆ อยู่นา คือไม่ดุดันและกะซวกไส้แตกเหมือนเก่า...ซะอย่างนั้น!
ดูเหมือนลูกทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ จะถูกความกดดันอันหนักหน่วงเล่นงาน รวมถึงภาพความทรงจำในอดีตที่ขื่นขมตามมาหลอกหลอนจนท้องไส้ปั่นป่วน
เข้าใจว่ามันน่าจะเป็นเหตุผลที่บอกว่าทำไมบรรดาบ่อนพนันแบบถูกกฎหมายที่อังกฤษถึงปรับราคาให้ แมนฯ ซิตี้ กลับมาเป็นเต็งหนึ่งอีกครั้ง
ปรับราคาแบบนี้แสดงว่าพวกนายบ่อนอาจวิเคราะห์ & เจาะลึกแล้วว่าลิเวอร์พูลน่าจะโดนผลกระทบจากความกดดันเล่นงานแล้วออกอาการมากกว่า แมนฯ ซิตี้
ฤดูกาลนี้ลิเวอร์พูลเพิ่งจะพลาดท่าแพ้คู่แข่งเพียงแค่นัดเดียวก็จริง ปัญหาคือการหลุดเสมอใน 2 เกมล่าสุดส่งผลเสียหายรุนแรงพอสมควร
เนื่องด้วยมันสร้างความบรรลัยให้พวกเขาแบบ 2 เด้ง ทั้งสภาพจิตใจและคะแนนในตารางโดยตรง
เพราะด้วยระบบคิดคะแนนให้ทีมชนะได้ 3 แต้ม ขนาดชนะ 1 นัด และแพ้ 1 นัด ยังได้คะแนนมากกว่าการเสมอ 2 นัดเลยนะครับ
และนี่แหละคือเหตุผลที่บอกว่าทำไมสเปอร์ส ถึงกลับมามีลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกแบบหน้าตาเฉย เพราะหากดูจากจำนวนเกมที่พวกเขาชนะคือ 19 นัด มันเท่ากับที่ แมนฯ ซิตี้ และ ลิเวอร์พูล ทำได้เลยทีเดียว
พูดถึงสถานการณ์ลุ้นแชมป์ของสเปอร์สในฤดูกาลนี้ ขอบอกว่ามีความรถไฟเหาะตีลังกาอย่างจงหนักมากนะครับ
ตอนแรกก็ยังเกาะกลุ่มลุ้นแชมป์อยู่ดีๆ ก่อนค่อยๆ หลุดวงโคจรไปเรื่อยๆ มิเท่านั้นยังมีบางช่วงที่ถูกทีมอันดับ 4 ไล่บี้มาติดๆ อีกต่างหาก
หลังพ่ายปีศาจแดงแบบคาบ้าน ดูเหมือนความหวังแชมป์คว้าพรีเมียร์ลีกของพวกยิดโด้จะถูกกระทืบจนแหลกสลายคาตีนแบบไม่เป็นทางการ
เท่านั้นไม่พอมีปัญหาเรื่องตัวผู้เล่นสำคัญถูกลักพาตัวไปพร้อมๆ กันอีกด้วย
เครื่องจักรถล่มประตูอย่าง แฮร์รี่ เคน กับ เดเล่ อัลลี่ นอนเบียดกับอาการบาดเจ็บ ขณะที่กุญแจสำคัญอีกคนอย่าง ซน ฮึง-มิน ก็ถูกเรียกตัวไปรับใช้ชาติ
ในเวลาห่างกันเพียงไม่กี่วัน "คลับไก่" โดนถีบตกรอบบอลถ้วยที่หมายปองเอาไว้ถึง 2 รายการติดต่อกัน
อารมณ์และความรู้สึก ณ จุดนั้นมันเข้าขั้นซึมเศร้า เหงา แฮ๊งก์ โดยโอกาสจบฤดูกาลด้วยมือเปล่าอีกแล้วมีสูงกว่าพระปฐมเจดีย์เสียอีก
กระทั่งร่วมแรงร่วมใจกันพุ่งเข้ากะซวกชัยชนะ 3 เกมติดต่อกันในพรีเมียร์ลีก ขณะเดียวกับที่ทั้ง ลิเวอร์พูล และ แมนฯ ซิตี้ ต่างผลัดกันทำแต้มหล่นหาย
สเปอร์สและนาทีนี้จึงตามจ่าฝูงอยู่เพียงแค่ 5 แต้มเท่านั้น แถมแข่งน้อยกว่า 1 นัด
เหมือนกลับชาติมาเกิดใหม่เลยนะครับ เพราะตาม 5 แต้ม กับเกมที่เหลืออยู่ในมืออีก 13 นัด ถือว่าไม่เท่าไหร่ในการไล่ล่า
...
ทีนี้มาดูเส้นทางที่เหลืออยู่ของทั้ง 3 ทีม ซึ่งขอบอกว่าสเปอร์สมีสิทธิ์สถาปนาตัวเองเป็นมือที่ 3 ในการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกแบบไม่มีใครคาดคิด
นอกจากนี้ยังจัดเป็นตัวแปรสำคัญที่อาจบ่งชี้ว่าทีมใดระหว่าง แมนฯ ซิตี้ กับ ลิเวอร์พูล จะอึ๊บแชมป์ลีกสูงสุดของเกาะมหาสมบัติในซีซั่นนี้
ขอเริ่มจาก แมนฯ ซิตี้ ก่อน
ลูกทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า จะต้องเซิ้งกับ เชลซี ในวันอาทิตย์นี้
ฟอร์มการเล่นเกมล่าสุดที่บุกไปเอาชนะ เอฟเวอร์ตัน 2-0 ค่อนข้างกระท่อนกระแท่น แน่นอนว่ามันไม่ง่ายที่จะยัดเยียดความปราชัยให้เชลซีที่ต้องดิ้นรนเพื่อติด "ท็อปโฟร์"
มิเท่านั้นมันคือการลงเล่นเป็นเกมที่ 3 ของพวกเขาในรอบ 7 วัน
เรียนตามตรงว่าเกมรับของ เดอะ ซิติเซนส์ ยังไม่ค่อยน่าไว้วางใจสักเท่าไหร่ มาตรฐานการเล่นก็ตกลงไปจากเมื่อฤดูกาลที่แล้วอย่างเห็นได้ชัด พูดง่ายๆ ว่าพวกเรือใบสีฟ้าพร้อมจะออกอ่าวและออกทะเลได้ตลอดเวลา
แมนฯ ซิตี้ มีคิวมาเยือน แมนฯ ยูไนเต็ด ในวันที่ 16 มีนาคม ซึ่งถือเป็นเกมหนักที่มีโอกาสผิดพลาด ขณะอีกเกมที่มีโอกาสทำแต้มหลุด คือการออกไปเยือน คริสตัล พาเลซ (ทีมที่เคยบุกมาเหยียบจมูกตัวเองถึงถิ่น) ในวันมหาสงกรานต์ของชาวไทย ก่อนเปิดบ้านต้อนรับการมาเยือนของ สเปอร์ส ในวันที่ 20 เมษายน
ขั้นแรกต้องผ่านเชลซีให้ได้ก่อน ซึ่งหาก ลิเวอร์พูล มีชัยเหนือ บอร์นมัธ ในวันเสาร์ ความกดดันจะเหวี่ยงไปหาพวกเขามากขึ้น และอย่างที่ตั้งข้อสังเกตเอาไว้คือ แมนฯ ซิตี้ ชุดนี้สามารถหลุดฟอร์มได้แบบไม่มีเหตุผลและไม่ต้องการความเข้าใจใดๆ ทั้งสิ้น
มิหนำยังต้องกรำศึกหนักถึง 4 รายการที่คงสิ้นเปลืองพลังงานมิใช่น้อย
ข้อได้เปรียบเดียวคือทีมสำเภาเศรษฐีคือการมีขุมกำลังที่อุดมด้วยคุณภาพด้วยขนาดยาวและใหญ่กว่าคู่ขับเคี่ยว
ทางด้านของลิเวอร์พูล หากดูจากผลงานโดยรวมในแง่สถิติตัวเลขถือว่าไม่น่าเกลียดอะไร
เพียงแต่วันเสาร์นี้ต้องขยี้ เดอะ เชอร์รี่ส์ ให้ได้เพียงสถานเดียวเท่านั้น
หากผลการแข่งขันออกมาเป็นอื่น บอกได้คำเดียวว่า...หนัก
หลังจากนั้นวันที่ 24 กุมภาพันธ์มีโปรแกรมเพชรหนังพันล้านกับ แมนฯ ยูไนเต็ด ในศึกแดงเดือดที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด
นี่คือเกมสำคัญที่สุดเกมหนึ่งในฤดูกาลนี้ของปีศาจแดงไม่ต่างจากนัดชิงชนะเลิศ
หากคิดที่จะเป็นแชมป์ ลิเวอร์พูลห้ามแพ้ในการศึกครั้งนี้เด็ดขาด
หรือต่อให้ควักผลเสมอกลับออกมาจากโรงละครแห่งความฝันได้สำเร็จก็อาจไม่เพียงพอ เพราะหลังจากนั้นพลพรรคหงส์แดงต้องออกไปเยือนคู่อริร่วมเมืองอย่าง เอฟเวอร์ตัน ที่ กูดิสัน พาร์ค ในวันที่ 3 มีนาคม
แม้จะผูกปีชนะมาตลอดในระยะหลัง แต่ด้วยความกดดันบวกด้วยความตั้งใจของทีมลูกอมที่แน่นอนว่าคงไม่ต้องการเห็นอริร่วมเมืองตัวเองประสบความสำเร็จ - ลิเวอร์พูลอาจเจองานหนักมากกว่าที่คิด
31 มีนาคม พวกเขาจะเปิดบ้านต้อนรับการมาเยือนของ สเปอร์ส ตามด้วย เชลซี ในเกมที่ 34 ของฤดูกาล แล้วจำเหตุการณ์สยองขวัญที่เกิดขึ้น เมื่อฤดูกาล 2013-14 ที่ เชลซี บุกมาดับฝันแชมป์ของหงส์แดงถึงถิ่นได้ไหมครับ?
ขอบอกว่ามันเกิดขึ้นในเกมที่ 36 ของฤดูกาลนั้น
นี่คือ 4 เกมที่เป็นด่านอรหันต์ของเครื่องจักรสีแดงผู้อหังการ นอกนั้นยังพออยู่ในวิสัยที่พวกเขาจะเอาชนะได้ไม่ยาก
สุดท้ายมาดูมาดูมือที่ 3 อย่าง สเปอร์ส ซึ่งถือว่าเจองานหนักมากกว่าทั้ง แมนฯ ซิตี้ และ ลิเวอร์พูล
เรียนตามตรงว่าเกมเยือน สแตมฟอร์ด บริดจ์ ในวันที่ 27 กุมภาพันธ์นี้ มีโอกาสพังพาบค่อนข้างสูง ซ้ำร้ายยังต้องต่อด้วยศึกลอนดอน ดาร์บี้ แมตช์ กับคู่แค้นระดับล้างโคตรอย่าง อาร์เซน่อล ในวันที่ 2 มีนาคม
การขาดดาวถล่มประตูตีนพระกาฬอย่าง แฮร์รี่ เคน จะส่งผลกระทบอย่างหนักในเกมใหญ่แบบนี้แหละ
เท่านั้นไม่พอ
สเปอร์สต้องออกเยือน ลิเวอร์พูล ในวันที่ 17 มีนาคม ที่บางทีมันอาจหมายถึงการชี้ชะตาของทั้งตัวเองและหงส์แดง
แถมยังต้องออกไปเยือน เอติฮัด สเตเดี้ยม ในเกมที่ 35 ของฤดูกาลอีกต่างหาก
ต้องบอกว่าโปรแกรมที่เหลืออยู่ของน้องไก่นั้นระห่ำโคตรโหดทะลุแดดมาก แต่หากคิดจะเป็นแชมป์ก็ต้อง "ก้าวข้าม" จุดนี้ให้ได้ เพราะข้อเสียของพวกเขาคือมักจะเสียหลักพุ่งชนความเด๊ดห่าแบบเป็นสม่ำในเกมที่ชี้เป็นชี้ตายแบบนี้แหละ
ในภาคปฏิบัติ ภารกิจคว้าแชมป์ของสเปอร์สจึงยากยิ่งกว่าเข็นภูเขาขึ้นครกอีกนะครับ
แต่ในทางทฤษฎีถือว่ามีโอกาส โดยเฉพาะในเกมเยือน ลิเวอร์พูล กับ แมนฯ ซิตี้ หากพวกเขาบุกไปเอาชนะได้ทั้งคู่
What the hell is going on ???
บอ.บู๋