เปิดใจ อาร์แซน เวนเกอร์ กับเคล็ดลับไขสู่ความสำเร็จ

สำหรับฟุตบอลพรีเมียร์ลีกในซีซั่นที่จะถึงนี้
นับเป็นฤดูกาลที่เหล่าแฟนบอลยอมรับว่าเป็นปีที่น่าติดตามที่สุดปีหนึ่งในรอบหลายๆ ฤดูกาลเลยทีเดียว เพราะบรรดาทีมยักษ์ใหญ่แห่งเกาะอังกฤษ ต่างมีการเปลี่ยนหัวเรือใหญ่คนใหม่กันแทบทั้งสิ้น
เด็กๆ ในญี่ปุ่นชื่นชอบและเชียร์สโมสรอาร์เซน่อลเป็นจำนวนมาก
ไล่ตั้งแต่แชมป์เก่าอย่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดที่แต่งตั้ง เดวิด มอยส์ ขึ้นมาดำรงตำแหน่งแทนตำนานกุนซืออย่าง เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ส่วนคู่ปรับร่วมเมืองอย่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้ก็สั่งเด้ง โรแบร์โต้ มันชินี่ ตกเก้าอี้ไป เพราะไม่สามารถคว้าแชมป์ใดๆ ได้เลยในซีซั่นก่อน และแต่งตั้ง มานูเอล เปเยกรีนี่ อดีตเทรนเนอร์เรอัล มาดริดขึ้นมารับตำแหน่งแทน แม้แต่ประธานสโมสรเชลซี โรมัน อบราโมวิช ก็ยอมกลับไปง้อ โชเซ่ มูรินโญ่ กลับมานั่งแท่นผู้จัดการทีมอีกครั้ง
ขณะที่อีก 2 ทีมดังแห่งกรุงลอนดอนอย่างสเปอร์สและอาร์เซน่อลยังคงใช้กุนซือหน้าเดิมอยู่ โดยเฉพาะ ''ไอ้ปืนใหญ่'' ที่นำทัพโดย อาร์แซน เวนเกอร์ มามากกว่า 16 ปี โดยมีปรัชญาการทำทีมที่ชัดเจนคือ การใช้นักเตะดาวรุ่งจากทั่วโลกมาเป็นแกนหลักของทีม ซึ่งมีผู้เล่นถึง 18 คนที่มาจากคนละประเทศและแตกต่างวัฒนธรรมกัน
ทีมอาร์เซน่อลภายใต้การคุมทีมของเวนเกอร์ มีนักเตะหลากหลายเชื้อชาติร่วมทัพอยู่เต็มไปหมด
ในช่วงทัวร์เอเชียที่ประเทศญี่ปุ่นของ ''ไอ้ปืนใหญ่'' กุนซือเลือดน้ำหอมอย่างเวนเกอร์ได้ขึ้นบรรยายและตอบคำถามต่อกลุ่มนักธุรกิจในไซตามะ ถึงเคล็ดลับการจัดการสโมสรฟุตบอลระดับโลก และการบริหารจัดการธุรกิจ ซึ่ง ''เดอะ มิร์เรอร์'' ได้รวบรวมบทสัมภาษณ์และนำมาให้เราได้อ่านกันดังต่อไปนี้
ในช่วงที่ตลาดซื้อขายนักเตะโลกยุคใหม่มีการแข่งขันที่สูงขึ้น อาร์เซน่อลมีวิธีเฟ้นหานักเตะที่มีพรสวรรค์ที่สุดอย่างไร?
เวนเกอร์ : ''หนึ่งในจุดแข็งของพวกเราคือดาวรุ่งเหล่านั้นมักรู้ว่า พวกเราจะให้โอกาสกับพวกเขา แต่สิ่งที่เรามองหาคือ แรงจูงใจที่จะประสบความสำเร็จของพวกเขาต่างหาก แต่แรงจูงใจคืออะไร? คุณจะบอกได้อย่างไรว่า ใครบ้างที่มีแรงจูงใจอยู่? คุณจะทำอย่างไรให้เขายังมีแรงจูงใจอยู่เสมอ?''
''สำหรับผมแล้วแรงจูงใจทำให้คนๆ หนึ่งมีความสามารถที่จะค้นหาหนทางสู่สิ่งที่เขาต้องการเพื่อบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ ตัวอย่างเช่นก่อนหน้านี้ผมไปวิ่งจ๊อกกิ้งในไซตามะ แต่ผมหาทางกลับไม่ได้ ผมมีแรงจูงใจที่จะกลับไปที่โรงแรม แต่ผมไม่รู้เส้นทาง ดังนั้นผมจึงยิ่งมีแรงจูงใจ และในที่สุดผมก็ค้นพบเส้นทางกลับ แต่มันแสดงให้เห็นถึงอะไร? มันแสดงให้เห็นว่าแรงจูงใจเป็นสิ่งสำคัญแต่มันยังไม่เพียงพอ เพราะคุณต้องมีความยึดมั่นในแรงจูงใจของคุณ และนั่นคือสิ่งที่เราพยายามจะทดสอบในตัวนักเตะของเราเช่นกัน''
''หากผมประเมินความสามารถของตัวเองต่ำไป ผมคงบอกว่า ''ใช่ ผมไม่สามารถหาทางกลับไปที่โรงแรมได้ และมองหาแท็กซี่ที่อยู่แถวนั้น'' แต่เพราะผมเป็นนักกีฬา ผมจึงตัดสินใจไม่เรียกแท็กซี่ และพยายามหาเส้นทางกลับเอง แม้มันจะต้องใช้เวลานานสักหน่อยก็ตาม''
เวนเกอร์มีมุมมองแนวคิดที่ดีเยี่ยมในการทำทีมฟุตบอลยุคที่เงินมีอำนาจใหญ่
''เมื่อคุณมองไปที่ผู้คนที่ประสบความสำเร็จ คุณจะพบว่าพวกเขาอาจเป็นคนที่ไม่ได้มีแรงจูงใจแต่พวกเขามีความยึดมั่นในแรงจูงใจ คุณจะเห็นว่าหลายคนอาจเริ่มต้นควบคุมอาหารในวันที่ 1 มกราคม บางคนยอมแพ้ตั้งแต่ช่วงกลางเดือนมกราคม บางคนไปยอมแพ้ในเดือนมิถุนายน และบางคนก็ทำสำเร็จ พวกเราจะสนใจคนที่สามารถทำได้ เพราะนั่นคือการกลายเป็นนักกีฬาที่ประสบความสำเร็จ''
''แต่นั่นไม่ได้หมายความว่านักกีฬาที่ประสบความสำเร็จจะมีความสุข แต่มันหมายความว่าพวกเขามีความมุ่งมั่น และพวกเขาพร้อมรับความเจ็บปวดเพื่อก้าวสู่ความสำเร็จ และนั่นคือคนที่เรากำลังมองหา คนที่มีความคาดหวังในตัวเอง และสิ่งอื่นได้เป็นเวลานาน ความยึดมั่นในแรงจูงใจสามารถใช้ได้กับทั้งฟุตบอล, ธุรกิจ หรือสิ่งที่คุณทำอยู่ในชีวิต''
แต่คุณมองหานักเตะพรสวรรค์จากที่ไหน?
เวนเกอร์ : ''เรามองไปทั่วทุกมุมโลก มันง่ายๆ แค่นั้นล่ะ ผมใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับฟุตบอล และผมยังคิดว่ามันเป็นสิ่งมหัศจรรย์เล็กๆ ที่ทั้งโลกต่างให้ความนิยมในกีฬาชนิดนี้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ในวันนี้เมื่อมีอะไรเกิดขึ้นที่ลอนดอน พวกเขาต่างรู้ในทันทีแม้จะอยู่ในไซตามะ ดังนั้นเมื่ออาร์เซน่อลเป็นสโมสรระดับโลก เราจึงมีความสนใจนักเตะพรสวรรค์ที่อยู่ทั่วทั้งโลกเช่นกัน''
''โลกเริ่มจะเล็กลงไป ก่อนหน้านี้เด็กๆ ในไซตามะไม่เคยมีโอกาสจะกลายเป็นนักเตะระดับโลก แต่ในวันนี้เขามีโอกาสมากขึ้น เพราะถ้าเขามีพรสวรรค์และมีความมุ่งมั่นแล้ว เขาจะได้รับโอกาสที่จะย้ายไปที่ไหนสักแห่ง และนั่นคือสิ่งที่เราพยายามจะทำ เราพยายามมองหานักเตะทั่วทุกมุมโลก คนที่มีพรสวรรค์ และความปรารถนา เพราะโชคไม่ดีเลยที่ในวงการฟุตบอล เงินมีค่ามากกว่าพรสวรรค์''
คุณฝึกสอนประสบการณ์อะไรให้นักเตะพรสวรรค์ก้าวขึ้นไปเป็นผู้เล่นระดับโลก?
เวนเกอร์ : ''ผมเชื่อว่าหนึ่งในสิ่งที่ดีที่สุดเกี่ยวกับการจัดการคนคือ เราต้องชักจูงให้เขาเดินไปในเส้นทางที่ถูกต้อง โดยพื้นฐานแล้วมันเป็นสิ่งที่ผู้จัดการทีมต้องทำ และเมื่อผมสามารถทำได้ ทำให้ผมมีความสุขอย่างมาก''
''มันไม่ได้เป็นเพียงส่วนหนึ่งในอาชีพของผม แต่มันคือส่วนหนึ่งที่สำคัญ แม้การคว้าชัยชนะจะเป็นสิ่งสำคัญที่สุดก็ตาม สิ่งหนึ่งที่เรามักพูดกับนักเตะคือ คุณยังไม่ได้เป็นสตาร์ แต่คุณสามารถกลายเป็นที่หนึ่งได้ และผมจะให้โอกาสคุณเอง''
''ที่อาร์เซน่อลเราภูมิใจที่ได้ทำมัน และเราได้ต่อสู้กับนโยบายที่เน้นแต่การซื้อนักเตะดาวดัง คุณต้องเข้าใจว่า นักเตะที่เป็นสตาร์ดัง ในก้าวแรกย่อมไม่มีใครรู้จัก หรือเห็นความสามารถของเขา ซึ่งพวกเราต้องการเป็นสโมสรที่ยื่นโอกาสให้กับนักเตะคนนั้นเอง''
คุณกำลังทำงานร่วมกับนักกีฬาบางคนที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก การมีอีโก้ของนักเตะบางคนเป็นปัญหาใหญ่ในการทำงานของคุณไหม?
เวนเกอร์ : ''แน่นอน คุณต้องรู้ว่าไม่ว่าคนๆ นั้นจะเป็นเป็นสตาร์ดัง หรือไม่ก็ตาม คุณต้องพร้อมที่จะรับฟังเสมอหากมันเป็นสิ่งที่เขาเรียกร้อง เงื่อนไขที่เขาต้องการจะเป็นตัวทดสอบแรกว่าคุณเป็นผู้จัดการทีมที่มีความสามารถจัดการกับสิ่งที่นักเตะต้องการได้ดีแค่ไหน''
''ในความเป็นจริงแล้ว เมื่อมีใครสักคนนั่งอยู่เบื้องหน้าคุณ พวกเขาจะเฝ้าสังเกตคุณ และพยายามตัดสินว่าคุณจะช่วยพวกเขาได้แค่ไหน หากพวกเขาคิดว่าคุณเป็นคนที่ช่วยพวกเขาได้ เขาก็จะให้ความเคารพในตัวคุณ และขั้นต่อไปพวกเขาจะตัดสินใจว่า เขาได้อยู่ในทีมที่สามารถพาเขาประสบความสำเร็จได้หรือไม่''
''เรามีปัญหาที่ว่า พวกเราอยู่ภายใต้เงื่อนไขทางการเงินที่มีอยู่อย่างจำกัด สำหรับนักเตะบางคน เราไม่ได้มีดาวดังมากพอที่จะประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วตามที่พวกเขาต้องการ แน่นอนว่ามันเป็นหนึ่งในปัญหาที่เราต้องพบเจอในอาชีพของเรา''
คุณมีมุมมองการทำทีมฟุตบอลอย่างไรให้ได้มาซึ่งผลลัพธ์ที่ดีในสนาม?
เวนเกอร์ : ''ผู้จัดการทีมคือผู้นำทาง เขาจะเป็นผู้นำของคนกลุ่มหนึ่ง และพูดว่า ''กับพวกคุณแล้ว ผมสามารถทำให้เราประสบความสำเร็จ ผมจะแสดงให้คุณเห็นเอง'' แต่ก่อนอื่นคุณต้องมีแนวคิดที่ชัดเจนในสิ่งที่คุณต้องการเสียก่อน และทุกคนต้องเข้าใจร่วมกัน เพื่อให้พวกเขาสามารถทำงานร่วมกับคุณได้ และมันไม่ใช่สิ่งที่ง่ายเลย''
''นั่นเป็นเหตุผลว่า ทำไมผมถึงเคยเข้ามาทำงานในญี่ปุ่น เพราะคุณต้องทำให้แนวคิดของคุณชัดเจน และมีความเป็นไปได้ ซึ่งคุณต้องปรับตัวให้เข้ากับวัฒนธรรมที่แตกต่าง และบางครั้งคุณต้องยึดมั่นในความคิดของคุณ และยอมรับผลที่เกิดขึ้น''
ความแตกต่างระหว่างการบริหารจัดการคนในฟุตบอลและในธุรกิจ?
เวนเกอร์ : ''ความแตกต่างเพียงอย่างเดียวคือ เวลาส่วนใหญ่ในธุรกิจคุณต้องบริหารจัดการคนที่มีวุฒิภาวะ แต่ในฟุตบอลคุณต้องเจอกับคนที่มีอายุ 18, 19, 20 ปี ความรับผิดชอบเป็นเรื่องใหญ่สำหรับพวกเขา เราต้องไม่ลืมว่านักเตะเหล่านี้ต้องทำงานภายใต้แรงกดดันจากสาธารณชนต่อหน้าคนกว่า 60,000 คน เป็นความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่เพื่อคว้าชัยชนะในแต่ละเกม''
''ผมไม่แน่ใจว่า ผมจะรับมือกับมันอย่างไรหากผมมีอายุแค่ 20, ร่ำรวย, มีชื่อเสียง และเป็นดาวดัง มันไม่ง่ายเลยที่จะรับมือกับมัน หลักๆ แล้วนั่นคือความแตกต่างระหว่างการบริหารจัดการคนในฟุตบอลและธุรกิจ ส่วนความแตกต่างอื่นๆ คงเป็นการที่กว่า 70 เปอร์เซ็นต์ของพนักงานในออฟฟิศ มักมีศักยภาพการทำงานที่ดี แต่กว่า 70 เปอร์เซ็นต์ของนักฟุตบอลกลับมีศักยภาพในการเล่นที่ไม่ดีนัก''
''และเมื่อมีความเครียดถาโถมเข้ามา ผู้เล่นคนใดที่ไม่หนักแน่นพอสามารถสร้างความเสียหายให้กับเกมของคุณได้ในทุกนาที หรือทุกวันนักฟุตบอลต้องทดสอบตัวเอง เพื่อทำให้ร่างกายตกอยู่ภายใต้แรงกดดัน เพราะคุณต้องรู้ว่าคุณจะสามารถลงเล่นท่ามกลางความกดดันได้อย่างไร เมื่อนั้นคุณถึงจะพร้อม 100 เปอร์เซ็นต์ ตัวอย่างเช่นใน ตูร์ เดอ ฟร้องซ์ ที่ คริส ฟรูม พึ่งคว้าแชมป์ไป แค่ทำผลงานได้ไม่ดีเพียงวันเดียว เขาอาจสูญเสียมันไปเลยก็ได้ เพราะนั่นคือกีฬาระดับโลก''
ตลาดซื้อขายในยุโรปมีพื้นที่สำหรับนักเตะญี่ปุ่นไหม?
เวนเกอร์ : ''สำหรับการเป็นผู้จัดการทีม มันเป็นความฝันที่จะมีผู้เล่นญี่ปุ่นอยู่ในทีม หากคุณบอกเขาว่าให้วิ่ง 10 รอบ ไม่ทันที่คุณจะพูดจบประโยค เขาจะเริ่มทำทันที แต่ในยุโรปคุณต้องโน้มน้าวใจนักเตะเขาถึงจะวิ่งให้ครบ 10 รอบ''
อะไรคือกุญแจสู่ความสำเร็จของทีม?
เวนเกอร์ : ''คุณไม่สามารถมีผู้เล่นในตำแหน่งใดที่อ่อนแอได้เลย คุณจำเป็นต้องมีผู้เล่นที่สามารถสร้างความแตกต่างได้ คุณต้องมีทีมที่สามารถหยุดทีมอื่นๆ จากการยิงประตูได้ ดังนั้นคุณต้องมีผู้รักษาประตูที่ดี และกองหลังที่แข็งแกร่ง แต่หากคุณต้องการทำประตู คุณจำเป็นต้องมีหนึ่งคนที่คอยบัญชาเกม ผ่านบอลได้ และหนึ่งคนที่สามารถทำประตู พักบอลได้''
''เมื่อคุณมีผู้เล่นที่สามารถทำสิ่งเหล่านี้ได้ คุณจะมีโอกาสชนะในกีฬาฟุตบอล ส่วนที่เหลือขึ้นอยู่กับทีมเวิร์กและทัศนคติ''
คุณรับมือกับทีมที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมอย่างไร?
เวนเกอร์ : ''โดยการสร้างวัฒนธรรมของเราขึ้นมาเอง ผมมีผู้เล่นจาก 18 ประเทศที่แตกต่างกัน ตัวอย่างเช่นเรื่องเวลา เมื่อคนฝรั่งเศสมาช้าไป 5 นาที เขายังคิดว่าเขามาทันเวลา แต่กับคนญี่ปุ่นเมื่อเขามาถึงก่อนเวลา 5 นาที เขากลับคิดว่าเขามาสาย''
''มันหมายความว่าคุณต้องสร้างวัฒนธรรมใหม่ขึ้นมา และระบุวิธีการที่เราทุกคนจะต้องทำเหมือนกัน ด้วยวิธีการนี้เมื่อมีบางคนไม่ทำตาม พวกเราจะบอกว่า ''เดี๋ยวก่อนเพื่อน นั่นไม่ใช่สิ่งที่เราเคยตกลงกันไว้นะ'' ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องมีกฎระเบียบที่ชัดเจนที่ทุกคนรับรู้และเห็นด้วยกับมัน''
คุณมีวิธีสร้างแรงบันดาลใจให้กับลูกทีมอย่างไร หากพวกเขากำลังรู้สึกแย่?
เวนเกอร์ : ''เรามีมันอยู่ในชีวิตของเราเสมอ แต่ผู้คนมักบอกว่าเราไม่มีมันอีกแล้ว บ่อยครั้งที่ผมจะเตือนทีมงานและบรรดาผู้เล่นว่าพวกเขามีความสามารถพอที่จะทำได้ เราไม่ได้มีศักยภาพครบทุกด้าน แต่สิ่งที่เราภูมิใจคือเราสามารถประสบความสำเร็จได้โดยไม่ต้องมีศักยภาพที่สมบูรณ์แบบ''
ระหว่างพานักเตะอาร์เซน่อลทัวร์เอเชีย เวนเกอร์ได้กล่าวขอบคุณที่ได้รับเกียรติต้อนรับอย่างอบอุ่นทั้งอินโดนีเซีย, เวียดนาม และญี่ปุ่น
คุณจัดการกับผู้เล่นที่เล่นได้ไม่ตรงตามเป้าหมายอย่างไร?
เวนเกอร์ : ''ถ้าพวกเขามีฟอร์มการเล่นที่แย่ลง อำนาจสูงที่สุดของเราคือการดร็อปผู้เล่นไว้ข้างสนาม หนึ่งในความยากลำบากในการทำงานของเราคือ เรามีผู้เล่น 25 คนที่พร้อมจะลงเล่นในทุกๆ เกม ซึ่งเราจะเหลือผู้เล่นอีก 14 คนที่ไม่ได้ลงสนาม และเราต้องบอกกับพวกเขาว่า ''เริ่มกันใหม่อีกครั้งนะ คุณยังมีโอกาสอยู่เสมอ'' นั่นเป็นปัญหาสำหรับงานของเรา''
''ชายอิฐ''