ทำไมยังไม่มีใครโดนไล่ออก?

ใบไม้กำลังเปลี่ยนสี สายลมหนาวพัดมาเยือน เข้าสู่ช่วงเบรกทีมชาติช่วงสุดท้ายของปีแต่เรื่องที่น่าเหลือเชื่อก็คือยังไม่มีโค้ชคนไหนถูกปลดออกจากตำแหน่งเลยในพรีเมียร์ลีก

คงจำกันได้ว่าเกิดอะไรขึ้นในซีซั่นที่ผ่านมา?

ออกสตาร์ทไปได้ไม่ทันไร สกอตต์ พาร์คเกอร์ ก็ต้องตกงานเป็นรายแรกหลังจากโดน บอร์นมัธ ตะเพิดออก ขณะเดียวกันเมื่อนับรวมทั้งหมดแล้วก็มีการเปลี่ยนแปลงตัวกุนซือถึง 14 ครั้งอันเป็นสถิติสูงสุด

มันก็ใช่ว่าทุกทีมมีผลงานที่น่าพอใจ ก็เห็นกันอยู่ว่าสามทีมน้องใหม่ที่เพิ่งเลื่อนชั้นกันมาต่างกำลังประสบปัญหากับการเอาตัวรอดในลีกสูงสุด ทั้ง ลูตัน, เชฟฯยูไนเต็ด และ เบิร์นลี่ย์ เก็บแต้มได้รวมกันเพียง 15 แต้มเท่านั้น 

นอกจากนี้ก็อาจจะพูดได้ว่ามีเก้าอี้ของโค้ชอีกบางคนด้วยที่ไม่ได้มั่นคงเหมือนก่อน หนึ่งในนั้นได้แก่ เอริค เทน ฮาก

ปกติแล้วสโมสรในพรีเมียร์ลีกไม่เคยปราณีให้ใครนานเท่านี้

รอบ 7 จาก 10 ซีซั่นหลังมา ต้องมีอย่างน้อยสักคนที่ต้องตกงานไปเรียบร้อย เมื่อมาถึงเดือนพฤศจิกายน แต่ถึงตรงนี้ทุกคนยังอยู่รอดปลอดภัย

ถามว่ามันมีเหตุผลไหม? ก็ต้องตอบได้ว่ามีคำอธิบายครับ

1.ความเชื่อใจในผลงานเก่า

ข้อนี้ชี้แจงได้กับสามทีมน้องใหม่โดยตรงโดยความที่ไม่ว่าจะ ร็อบ เอ็ดเวิร์ดส์, พอล เฮคกิ้งบ็อตธ่อม รวมถึง แว็งซ็องต์ กอมปานีย์ ต่างเคยสร้างผลงานได้ยอดเยี่ยมสมัยที่ทีมอยู่แชมเปี้ยนชิพ นั่นทำให้บอร์ดบริหารของจะ ลูตัน, เชฟฯยูไนเต็ด หรือ เบิร์นลี่ย์ ก็ตามยังไม่ด่วนใจเร็วไล่ออก

ก็อย่างเดียวกันที่กระแสจากแฟนบอลส่วนใหญ่ของทั้งสามสโมสรที่ยังอยากให้โอกาสเจ้านายของพวกเขาทำงานต่อไป

อีกเหตุผลที่ประกอบด้วยกันก็เพราะซีซั่นที่แล้วมีฟุตบอลโลกที่ กาตาร์ มาคั่นกลาง ช่วงนั้นถือเป็นช่วงที่เหมาะสมที่จะให้มีการเปลี่ยนแปลงผู้จัดการทีม มีเวลามากพอคัดสรรและให้มาทำความรู้จักกับนักเตะ

2.ถึงตกไปก็กลับมาได้

กฎ Parachute(ร่มชูชีพ) ได้เอื้อให้ทีมที่เพิ่งตกชั้นไปถือความได้เปรียบกับกลุ่มที่ตกไปก่อนนานแล้ว เงินที่พรีเมียร์ลีกมีให้เพื่อช่วยเหลือก็ทำให้สามารถเก็บนักเตะดีๆเอาไว้ได้ ยกตัวอย่าง เลสเตอร์ ซิตี้ ในตอนนี้

สังเกตไหมว่ามีหลายทีมเลยที่ขึ้นๆลงๆประจำ ต่อให้อยู่พรีเมียร์ลีกได้ไม่นานแต่ก็ร่วงไปแชมเปี้ยนชิพแค่ปีหรือสองปีเท่านั้น 

ข้อนี้ทีมอย่าง เบิร์นลี่ย์ ย่อมรู้ดีที่สุด 

การตกชั้นไปสำหรับพวกเขาจึงไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย พวกเขาต่างคุ้นชินแล้วรวมถึงเข้าใจวิธีการด้วยว่าจะทำอย่างไรให้กลับขึ้นมาให้เร็ว

3.เปลี่ยนแล้วใช่จะดีขึ้นเสมอไป

อูไน เอเมรี่ กับ แอสตัน วิลล่า ถือเป็นสมมติฐานว่าทำไมถ้าคิดจะเปลี่ยนโค้ชก็ต้องเปลี่ยนให้เร็วและเลือกคนที่ถูกต้องเข้ามา ตอนนี้ทีม สิงห์ผงาด กลายเป็นทีมลุ้นแชมป์ไปแล้วก็ว่าได้หากพิจารณาจากตารางคะแนนอย่างเดียว

อย่างไรก็ตามก็ใช่ว่าทุกทีมจะทำได้เช่นนี้ จากสถิติรอบสิบปีหลังมานี้มีแค่ครึ่งเดียวหรือ 50% เท่านั้นที่การเปลี่ยนโค้ชจะหมายถึงว่าทีมมีผลงานดีขึ้นในระยะยาว(ส่วนมากอาจมาดีช่วงแรกๆ)

เรื่องทำนองนี้อยู่ที่การตัดสินใจบนการวางแผนที่รอบคอบ หากแน่นอนว่ามันมีความเสี่ยงเสมอ คุณอาจจะกลายเป็นวิลล่าก็ได้หรือคุณก็อาจจะเป็นอย่างวัตฟอร์ดไปก็ได้

"ไก่ป่า"


ที่มาของภาพ : getty images
BY : ไก่ป่า
เอกราช นิติสุทธิ์สกุล
ติดตามช่องทางอื่นๆ:
Website : siamsport.co.th
Facebook : siamsport
Twitter : siamsport_news
Instagram : siamsport_news
Youtube official : siamsport
Line : @siamsport