เมื่อ แมนซิตี้,อาร์เซน่อล,ลิเวอร์พูล ยุติเส้นทางบอลยุโรป

แมนซิตี้ อาร์เซน่อล และ ลิเวอร์พูล สิ้นสุดเส้นทางของตัวเองในฟุตบอลสโมสรยุโรปในสัปดาห์เดียวกัน

ตกรอบ 8 ทีมสุดท้ายด้วยคุณภาพอันยอดเยี่ยมของคู่ต่อสู้ที่ต้องเจอทั้งสิ้น

แมนฯ ซิตี้ แพ้ เรอัล มาดริด

อาร์เซน่อล แพ้ บาเยิร์น มิวนิค

ลิเวอร์พูล แพ้ อตาลันต้า

ผมประทับใจการเล่นทั้ง 2 นัดของ เรอัล มาดริด ที่ตั้งหลักสู้กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ อย่างมีคุณภาพ

นิ่ง ไม่ร้อนรน รู้ว่าตัวเองกำลังเจอกับอะไรและจะรับมือกับมันอย่างไร

เจอกับทีมที่ครองบอลดีที่สุดในโลกอย่างเรือใบสีฟ้า ไม่จำเป็นต้องต่อบอลสู้หรือเปิดหน้าลุยแลกหมัด แต่ปักหลักในแดนตัวเอง ปล่อยให้ฝั่งสีฟ้าครองบอลไป

รักษาพื้นที่รับผิดชอบของตัวเองไว้ ไม่พุ่งเข้าหา ไม่พรวดเข้าใส่ ไม่กระตุ้นให้นักเตะซิตี้ได้เล่นบอลเร็วและแม่นที่เป็นอาวุธอันตราย จะครองบอลก็เชิญเลย พวกผมสามารถยืนจ้องคุณอยู่ตรงนั้นเฉย ๆ ได้ทั้งวันไม่เป็นไร

อ่านเกม เคลื่อนที่ตาม ใช้ความอดทนในการเล่น มีสติไม่หลุดสมาธิ ดักตัดบอล เบียดปะทะแย่งบอล รุมแย่งบอล หรือเก็บบอลจังหวะสอง เมื่อได้บอลแล้วรีบหาโอกาสโต้กลับเร็ว

คิดตลอดเวลา อ่านจังหวะของเกม อ่านจังหวะของคู่ต่อสู้ แล้วยังอ่านจังหวะของเพื่อนร่วมทีมด้วย ยกตัวอย่าง วินิซิอุส จูเนียร์ จะขยับตัวเตรียมพร้อมทันทีถ้าเขาเห็นว่า เอดูอาร์โด้ กามาวินก้า กำลังจะแย่งบอลได้ หรือ จู๊ด เบลลิงแฮม จะขยับมาให้ เฟเด้ วัลเวร์เด้ เห็นเพื่อให้เพื่อนมีตัวเลือกตั้งแต่กองกลางชาวอุรุกวัยมีโอกาสได้บอล

หัวใจสำคัญที่ทำให้ เรอัล มาดริด รับมือกับเกมครองบอลระดับเวิลด์คลาสของ แมนฯ ซิตี้ ได้ดียังเป็นเพราะคุณภาพของนักเตะแต่ละคนด้วย

คุณผ่านเขาไม่ได้ง่าย ๆ เขาฟิตเท่าคุณ เขาเก่งไม่แพ้คุณ เขาคิดทันคุณ และยังเล่นด้วยวิธีการที่ทำให้คุณเป็นตัวเองลำบาก คุณจึงเจาะพวกเขาไม่ได้ง่าย ๆ

ทำไมทีมที่เล็กกว่าอย่าง เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด หรือ ลูตัน ทาวน์ ที่เล่นเกมรับยิ่งกว่านี้เสียอีก ยืนต่ำกว่านั้นเสียอีกถึงต้านทาน แมนฯ ซิตี้ ไม่ได้ ก็เพราะคุณภาพรายบุคคลที่แตกต่างกันนั่นแหละ

นักเตะซิตี้เลี้ยงกินตัวผู้เล่นลูตันได้ ดวลตัวต่อตัวชนะนักเตะเชฟฯ ยูไนเต็ดได้ แล้วคุณก็ยังตามเกมเขาไม่ทัน คิดไม่ทันเขา ทั้งยังไม่มีอาวุธตอบโต้ เล่นไปเรื่อย ๆ ก็โดนลงโทษในที่สุด

เรอัล มาดริด มีคุณภาพตรงนี้ ทั้งคุณภาพทีม คุณภาพโค้ช และคุณภาพผู้เล่น ที่จะรับมือกับทีมหมายเลขหนึ่งของโลก

แต่กระนั้นมันก็เต็มกลืนทีเดียวในการเอาตัวรอดจากการขึงเกมบุกจากทุกทิศทางของซิตี้.. ดานี่ การ์บาฆาล รับมือกับทั้ง แจ๊ค กรีลิช ต่อด้วย เฌเรมี่ โดกู จนเป็นตะคริว และทีมเรือใบสีฟ้าเองก็ทำไม่ได้ในจังหวะที่โอกาสเปิดให้ด้วย

ทีมอย่าง เรอัล มาดริด มันก็พิเศษตรงนี้ ตรงที่ไม่กลัวที่จะปรับเปลี่ยนการเล่นของตัวเองไปตามสถานการณ์ที่เจอ พวกเขาเล่นเพรสซิ่งได้แต่เลือกไม่เล่น พวกเขาเปิดหน้าบุกก็ได้แต่เลือกไม่ทำ พวกเขาเลือกวิธีการที่เหมาะสมที่สุดต่างหาก

เขี้ยวลากดิน.. กระทั่งบรรดานักเตะอายุน้อยของ คาร์โล อันเชลอตติ ก็ยังเขี้ยวลากดิน เพราะตัวกุนซือนั่นด้วยแหละครับที่กระดูกขัดมัน

-----------

กับ บาเยิร์น มิวนิค ที่เอาชนะ อาร์เซน่อล ได้อาจมาจากแรงบวกที่พลาดไม่ได้อีกแล้ว..

แชมป์บุนเดสลีกาหลุดลอยไปเรียบร้อย เดเอฟเบ โพคาลก็ตกรอบไปแล้ว เหลือเพียง ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รายการเดียวเท่านั้นที่เป็นความหวังเหลืออยู่

บอลหลังพิงฝานั้นน่ากลัว ยิ่งทีมที่หลังพิงฝานั้นเป็น บาเยิร์น มิวนิค ก็ยิ่งน่ากลัว

เท่ากับว่า อาร์เซน่อล ยังมีอะไรต้องคาใจกันต่อไปกับเวทีนี้ พวกเขาปลดล็อกมันไม่ได้สักที

การเจอกับ บาเยิร์น เวลานี้ถือเป็นโอกาสดีที่สุดแล้วในการวัดระดับของตัวเอง อาร์เซน่อลกำลังขาขึ้นลุ้นแชมป์ บาเยิร์นกำลังขาลงเสียแชมป์ ถ้าผ่านทีมเสือใต้เข้าสู่รอบตัดเชือกได้ก็จะยิ่งยืนยันถึงพัฒนาการของตัวเอง

แต่เมื่อทำไม่ได้ คำถามนั้นจึงยังคงอยู่ต่อไป เป็นความไม่มั่นใจที่กรุ่น ๆ อยู่ภายใน

ผมไม่ได้ดูเกมแบบเต็ม ๆ ทั้ง 2 นัดจึงคงไม่อาจวิเคราะห์วิจารณ์อะไรได้มากในเรื่องของเกม อยากทราบมุมมองของแฟนบอลทีมปืนใหญ่มากกว่าครับว่ามองความพ่ายแพ้ต่อทีมเสือใต้อย่างไร

ส่วนลิเวอร์พูล ผมได้ดูทั้ง 2 เกมที่เจอกับ อตาลันต้า และต้องยอมรับว่าทีมหงส์แดงไม่ดีพอที่จะเป็นผู้ชนะจริง ๆ

ประทับใจการเตรียมพร้อมของ จาน ปิเอโร่ กาสเปรินี่ ทั้งในเกมแรกที่แอนฟิลด์ และเกมที่สองที่แบร์กาโม่เมื่อคืนที่ผ่านมา ไม่แพ้ที่ประทับใจวิธีการรับมือแมนฯ ซิตี้ ของนักเตะ เรอัล มาดริด แม้ทั้ง 2 ทีมจะเลือกใช้วิธีการแตกต่างกัน

อตาลันต้า พร้อมแลกหมัดใส่ลิเวอร์พูลเลย

ในเกมแรกที่แอนฟิลด์พวกเขาเข้าถึงตัวไม่ให้นักเตะหงส์แดงเล่นง่าย ๆ ทุกคนมีคู่ประกบแบบไปไหนไปด้วย อ่านจังหวะดักบอล ตัดบอล เก็บบอลจังหวะสอง พร้อมรุมใส่ถ้าเห็นโอกาส

สกอร์ 3-0 น่าตกใจ แต่ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจสำหรับรูปเกมที่เกิดขึ้นตลอด 90 นาที

เกมที่สองเมื่อคืนวันพฤหัสฯ เป็นเกมชี้ชะตาของหงส์แดง ความหวังยังคงมีอยู่แม้โอกาสเข้ารอบจะน้อยนิด การจัดตัวของ เยอร์เก้น คล็อปป์ ยืนยันกับเราว่าเขายังเน้นรายการนี้

วาตารุ เอนโด กับ ดาร์วิน นูนเญซ ที่ฟอร์มตกในช่วง 2-3 เกมหลังถูกดร็อปไว้ข้างสนาม ตัวจริงของลิเวอร์พูลเมื่อคืนที่ผ่านมาคือชุดที่ดีที่สุดในเวลานี้

เคอร์ติส โจนส์ ลงมาเล่นตรงกลางแทน เอนโด ถอย อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ ไปเล่นตัวรับแทนกัปตันทีมชาติญี่ปุ่น ขณะที่ตำแหน่งหน้าเป้าของดาร์วินถูกแทนที่ด้วย โกดี้ คักโป ที่เริ่มดีขึ้นเรื่อย ๆ

ลิเวอร์พูลบีบเกมเข้าใส่ด้วยการเพรสซิ่งดุดันตั้งแต่แดนบน การตอบสนองของผู้เล่นดูดีมาก ทุกคนตื่นตัวมุ่งมั่นที่จะเอาบอลมาครอง กล้าทำเกมบุกแบบได้เสีย บอลทะลุแนวตรงทั้งสั้นและยาวอาจเสี่ยงต่อการเสียบอลแต่ต้องยอมแลกเพื่อทวง 3 ประตูที่เสียไปกลับมาให้ได้ก่อน

แล้วทุกอย่างก็ยังเริ่มต้นเหมือนฝัน แค่ 3 นาทีก็ได้จุดโทษจากจังหวะวางบอลยาวจากแดนหลังไปทางซ้าย บอลถูกผ่านมาทางขวาแล้วการเติมเกมของ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ก็ทำให้ทีมได้จุดโทษจากจังหวะแฮนด์บอล

ผมลุ้นลูกจุดโทษของ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ แบบกัดเล็บ มันเป็นแค่ช่วงต้นเกมก็จริงแต่โอกาสนี้สำคัญมาก ถ้ายิงไม่เข้าก็ต้องกัดฟันสู้กับความท้อที่เกิดขึ้นมาอีก ทว่าหากยิงเข้าไม่เพียงทำให้ประตูที่ต้องยิงให้ได้น้อยลงไปหนึ่งลูกเท่านั้น มันยังเพิ่มความมั่นใจให้ทีมและในทางกลับกันอาจทำให้นักเตะเจ้าถิ่นสั่นสะเทือนได้ด้วย

นำ 3-0 ก็จริง แต่ถ้าเสียประตูเร็วจาก 3-0 เป็น 3-1 ตั้งแต่ต้นเกม ยังมีเวลาอีกเหลือเฟือให้คู่ต่อสู้อย่างลิเวอร์พูลที่มีฟุตบอลดุดันและกำลังฮึกเหิมอาจไม่ใช่เรื่องน่ารับมือเท่าไหร่สำหรับอตาลันต้า

ผมจับตาดูการตอบสนองของนักเตะอตาลันต้าหลังประตูของซาลาห์ว่าจะมีอาการแกว่งไหม จะเล่นสะเปะสะปะขึ้นจากความเข้มข้นของเกมที่พุ่งพรวดหรือเปล่า ส่วนนักเตะหงส์แดงนั้นไม่ต้องสงสัยอยู่แล้วว่าจะเล่นอย่างไร พวกเขาจะยังลุยใส่แบบเดิมด้วยความคึกคะนองที่เพิ่มขึ้นอีก

แต่นักเตะอตาลันต้าไม่มีอาการสั่นไหว พวกเขายังอยู่ในเกมสมาธิไม่หลุด กล้าเล่นกล้าต่อบอลและบีบเพรสซิ่งลิเวอร์พูลกลับ ดันเกมขึ้นสูงไปกดดันหน้าเขตโทษ

เหมือนพวกเขาพร้อมรับมือกับเกมนี้ รู้อยู่แล้วว่าจะต้องเจอกับอะไร และก็เตรียมตัวมาเป็นอย่างดี นักเตะอตาลันต้าไม่ตระหนกเมื่อต้องเจอกับเกมเพรสซิ่งหนักหน่วง ค่อย ๆ ปลดแก้อย่างใจเย็น พลาดเสียบอลไม่เป็นไรช่วยกันสอดซ้อนใหม่ และเวลาทีมเยือนตั้งเกมก็ขึ้นไปเพรสซิ่งใส่ด้วย

เป็นครึ่งแรกที่สนุกทีเดียว อันนี้ล่ะครับมวยแลกหมัดของจริง

ผมยังชอบบอลจากเท้าของ เทรนต์ มันแตกต่าง เขามีพรสวรรค์ในการผ่านบอล ด้วยมุมมองและความกล้าทำให้บอลยาวของ TAA 66 คุกคามเกมรับคู่แข่งได้น่ากลัว เป็นอาวุธสำคัญที่กลับมาอีกครั้งในเกมนี้

น่าคิดเหมือนกันว่าด้วยสไตล์ที่แตกต่างกันในการเล่นเวลานี้ เมื่อ คอเนอร์ แบร๊ดลี่ย์ ฟิตกลับมาแล้ว คล็อปป์จะจัดวาง 2 คนนี้อย่างไร จะให้ใครนั่งสำรองหรือจะผลักดัน เทรนต์ ขึ้นไปเล่นกองกลางเลยไหม

อิบราฮิมา โกนาเต้ ก็มีจังหวะปะทะแย่งบอลสวย ๆ ได้หลายครั้ง อิบูทำหน้าที่ของตัวเองได้ดีไม่มีผิดพลาดใหญ่ ขณะที่ เคอร์ติส โจนส์ ไม่แย่แต่ก็ไม่ได้โดดเด่นนัก

อีกคนหนึ่งที่ผมชอบในเกมนี้คือคักโป

กองหน้าชาวดัตช์ถูกจับเล่นในบทบาทกองหน้าตัวเป้าแบบฟอลส์ไนน์อีกครั้ง มันไม่ใช่ตำแหน่งถนัดที่สุดของเขาหรอกแต่เขาสามารถเล่นได้ตามแบบฉบับของนักเตะสารพัดประโยชน์ ด้วยพื้นที่ทางซ้ายมี หลุยส์ ดิอาซ จับจองอยู่แล้ว

คักโปมีส่วนร่วมกับเกมไม่น้อย เชื่อมเกม ครองบอล ผ่านบอล เขามีทักษะพื้นฐานที่ดีและนำมันมาใช้สร้างโอกาสให้ทีมในเกมนี้ การหันหลังสะกิดบอลหรือไขว้บอลชิ่งให้เพื่อนไม่ใช่การโชว์ออฟพร่ำเพรื่อแต่เป็นไปตามจังหวะของเกมที่ต้องให้บอลด้วยท่าทางนั้นในตอนนั้นจริง ๆ

โอกาสทองของซาลาห์ที่ได้บอลหลุดเดี่ยวไปกระดกข้ามตัวผู้รักษาประตูแต่เบี้ยวออกหลังก็มาจากการตวัดให้จังหวะเดียวของคักโป

น่าเสียดายเหมือนกันที่ลูกนั้นไม่เป็นประตู มันเป็นโอกาสทองจริง ๆ ของ ซาลาห์ ถ้ายิงเข้าไม่เพียงทำให้ทีมไล่มาเป็น 2-3 ตั้งแต่ครึ่งแรกเท่านั้นแต่ยังเพิ่มความมั่นใจให้ คักโป ที่จะได้แอสซิสต์ และเป็นแรงกระหายของดาวเตะอียิปต์ที่มีโอกาสทำแฮตทริกด้วย

แต่ก็นั่นล่ะครับ การจบสกอร์ยังดูเหมือนจะเป็นปัญหาที่แก้ไม่ตก ณ นาทีนี้ กระนั้นลิเวอร์พูลก็ยังสามารถสร้างโอกาสทำประตูได้เรื่อย ๆ เราคงต้องลุ้นตามไปด้วยว่าโอกาสเหล่านั้นจะกลับมา 'คลิก' ได้ทันเวลาไหม

คักโปเริ่มเล่นได้เข้าที่เข้าทางขึ้นเรื่อย ๆ หวังว่าเขาจะเอาชนะเสียงวิจารณ์ได้โดยเร็ว เพราะมันสำคัญสำหรับการลุ้นแชมป์ของลิเวอร์พูลในช่วงท้ายฤดูกาล

คล็อปป์ต้องการนักเตะของเขาทุกคน

-------------

มองโลกในแง่ดี การตกรอบครั้งนี้ทำให้ลิเวอร์พูลไม่เสียเปรียบ แมนฯ ซิตี้ กับ อาร์เซน่อล ในเรื่องความอัดแน่นของโปรแกรมเตะในเดือนพฤษภาคม

ไม่มีเกมกลางสัปดาห์ 2 นัดมาแบ่งสมาธิในการเตรียมความพร้อมเก็บแต้มในลีก

ใส่กันได้สุด ๆ ในทางตรง 20 เมตรสุดท้ายก่อนเข้าเส้นชัย.. ทั้ง 3 ทีม

แต่ประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีกอังกฤษที่ผ่านมาไม่เคยมีม้า 3 ตัวลุ้นแชมป์กันไปตลอดทางจนถึงเกมสุดท้าย บางปีเหลือสอง บางปีเหลือแค่ทีมเดียวเดินเข้าป้ายสบายใจ

กับซีซั่นนี้จะเป็นอย่างไรยังไม่อาจคาดเดาได้ เสียงส่วนใหญ่อาจพุ่งไปที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้.. ทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า เป็นเต็งหนึ่งนั้นแน่นอน แต่ 2 คะแนนที่นำอยู่สามารถพลิกผันได้ด้วยการสะดุดหกล้มเพียงนัดเดียว

มันอาจเป็นซีซั่นประวัติศาสตร์ลุ้นแชมป์กัน 3 ทีมไปจนสุดทาง หรือเจอแอนตี้ไคลแม็กซ์อีกครั้งก็ได้ แต่ที่แน่ ๆ สมาธิของทั้ง 3 ทีมจะพุ่งไปที่พรีเมียร์ลีกเพียว ๆ ใน 6 เกมสุดท้ายที่เหลือ

ซิตี้อาจมีเกมเอฟเอ คัพรอบตัดเชือกให้เล่น แต่แค่เกมเดียวไม่กระทบความมุ่งมั่นที่จะสร้างประวัติศาสตร์คว้าแชมป์ลีก 4 ปีติดของพวกเขาแน่

ตกรอบสโมสรยุโรปกันถ้วนหน้า ยินดีกับผู้ชนะทั้ง เรอัล มาดริด บาเยิร์น มิวนิค และ อตาลันต้า แล้ว เราก็กลับมาใส่กันสุดตัวในพรีเมียร์ลีกกันล่ะครับ

ตังกุย


ที่มาของภาพ : getty images
BY : ตังกุย
ณัฐพล ดำรงโรจน์วัฒนา
ติดตามช่องทางอื่นๆ:
Website : siamsport.co.th
Facebook : siamsport
Twitter : siamsport_news
Instagram : siamsport_news
Youtube official : siamsport
Line : @siamsport