บินไปดูบอลเยอรมัน

ดูเป็นคำถามโง่ๆ ที่ทำให้ทุกคนในห้องหัวเราะกันท้องแข็ง แต่ผมคิดว่ามันมีประโยชน์สำหรับใครก็ตามที่ชอบเล่นบอลในตำแหน่งกองหน้า

"สำหรับผมแล้วคุณคือหนึ่งในกองหน้าที่เก่งที่สุดเท่าที่ผมเคยดูมา คุณพอมีคำแนะนำไหมว่า อะไรเป็นสิ่งสำคัญที่สุดถ้าผมอยากจะยิงประตูได้เฉียบขาดอย่างคุณบ้าง?"

ชายที่อยู่เบื้องหน้าส่ายหัวหนึ่งที จากนั้นก็มีรอยยิ้มมุมปากบางๆ เขาตอบออกมาจากประสบการณ์ในฐานะอดีตเจ้าของรางวัลรองเท้าทองคำปี 2003 ด้วยผลงาน 29 ประตู

"คุณไม่สามารถเรียนรู้ได้ในการเป็นกองหน้า แน่นอนคุณสามารถเรียนรู้วิธีการยิงได้ การเคลื่อนตัวเข้าหาที่ว่างอะไรทำนองนั้นแต่บางครั้งคุณต้องเกิดมาเพื่อสิ่งๆหนึ่ง มันเป็นเรื่องที่สัญชาติญาณต้องบอกออกมาว่าทำไมถึงต้องวิ่งไปตรงพื้นที่นั้น เรื่องนี้ก็มีคนเคยถามผมว่าทำไมถึงเลือกจะวิ่งไปเสาแรกและผมก็ยอมรับว่าไม่รู้แต่สัญชาติญาณบอกว่าต้องไปเสาแรก นี่คือสิ่งสำคัญที่สุดของการเป็นกองหน้า"

รอย มาคาย ชื่อนี้หลายคนคงจำกันได้ ปัจจุบันอายุ 48 แล้วโดยรูปร่างก็ดูอวบขึ้นตามประสา เขาให้เกียรติมานั่งตอบคำถามทัพสื่อมวลชนที่ได้รับเชิญจากทางบุนเดสลีกามาเข้าร่วมทริปในชื่อ 'Media Visit APAC 2024'

APAC หรือว่า Asia–Pacific ก็มาจากทริปนี้ที่นอกจากสื่อไทยแล้วก็มีจาก อินเดีย, เวียดนาม และ มาเลเซีย

โอกาสดีๆ แบบนี้ไม่ได้หาได้ง่าย มันไม่ใช่แค่การเข้าสนามดูบอลทั่วไปแต่เริ่มจากได้ไปแคมปัสของ บาเยิร์น มิวนิค ซึ่งเป็นศูนย์ฝึกที่เพาะบ่มตัวเยาวชนของสโมสรตั้งแต่ระดับ 9 ขวบเป็นต้นไป 

เข้าใจได้เลยว่าทำไมพวกเขาถึงผลิตนักฟุตบอลเก่งๆ ขึ้นมาได้ตลอด มันเป็นความตั้งใจที่จะหว่านเมล็ดลงแปลงนาเพื่อรอเก็บเกี่ยวผลในอนาคต อาจต้องใส่ใจและอดทนอาศัยเวลาก็ตาม

ในแคมปัสมีรูปของ โธมัส มุลเลอร์, บาสเตียน  ชไวน์สไตเกอร์, ฟิลิปป์ ลาห์ม รวมถึง ดาบิด อลาบา แขวนไว้ ก็ไม่ใช่แขวนไว้เพื่อความสวยงามหรอกแต่นัยยะที่ซ่อนก็ต้องการให้พวกเด็กรุ่นหลังที่ได้ก้าวมาในศูนย์ฝึกได้เห็นในทุกๆ วันเพื่อก่อแรงบันดาลใจว่าบางทีสักวัน...อาจเป็นเรา

พวกสโมสรใหญ่ในยุโรปให้ค่ากับคำว่า 'เมล็ดพันธุ์' เยอะมาก เราได้ยินกิตติศัพท์ La Masia ของ บาร์เซโลน่า มาตลอด นี่ก็เป็นเพียงบางตัวอย่าง

ยิ่งกับลีกเยอรมันแล้ว ที่มีจุดยืนตัวเอง พวกเขาอาจไม่ใช่ลีกหมายเลขหนึ่งแต่ในความเป็นบุนเดสลีกานั้นก็มีจุดแข็งที่ลีกอื่นไม่มี อย่างข้อมูลเชิงสถิตินั้นบุนเดสลีกาเป็นลีกที่มีค่าเฉลี่ยยิงประตูสูงสุดจากซีซั่น 2010/11 เป็นต้นมา

ใช่ บางคนมักเชื่อว่าพรีเมียร์ลีกทะลวงตาข่ายมากที่สุด

การให้ค่ากับแฟนบอลก็เป็นเรื่องที่ลีกเมืองเบียร์ชูป้ายมาตลอด ค่าเฉลี่ยราคาตั๋วเทียบกับท็อปลีกในยุโรปด้วยกันจึงถูกที่สุดแค่ 26 ยูโรเท่านั้น (พรีเมียร์ลีกแพงสุด 62 ยูโร, เซเรีย อา 58 ยูโร, ลา ลีกา 58 ยูโร และลีกเอิง 31ยูโร)

อีกข้อมูลที่น้อยคนอาจทราบก็บุนเดสลีกาเป็นลีกยอดคนดูในสนามเฉลี่ยสูงสุด ซีซั่นที่แล้วแตะอยู่หลัก 43,000 คนต่อเกม (พรีเมียร์ลีกแพงสุด 40,000, ลา ลีกา 30,000, เซเรีย อา 29,000 และลีกเอิง 24,000)

เหตุผลหลักที่สนับสนุนก็มาจากสังเวียนแข้งของเยอรมันนั้น มีขนาดความจุเยอะกันแทบทั้งนั้น ไม่จำเพาะว่าต้องเป็นทีมแถวหน้าอย่าง บาเยิร์น หรือ ดอร์ทมุนด์ อย่างฤดูกาลปัจจุบันทีมเช่น เอากส์บวร์ก ที่เทียบได้ในพรีเมียร์ลีกก็คง บอร์นมัธ ยังรองรับแฟนได้ถึงหลักร่วมสามหมื่นคน

แพสชั่นกองเชียร์จึงไม่รองใครทั้งสิ้น

ในวันเกมที่ อลิอานซ์ อารีน่า ซึ่ง บาเยิร์น มิวนิค ทุบ ไลป์ซิก 2-1 โดยมี แฮร์รี่ เคน สวมบทฮีโร่นั้น ก็พบป้ายผ้าตรงสแตนด์หลังประตูฝั่งฮาร์ดคอร์เจ้าถิ่นกางออกมา - "FUCK RB"

เป็นตัวหนังสือไม่กี่คำที่สะท้อนออกมาถึงความเป็นบอลเยอรมันว่าพวกเขาต่อต้านพวกแบรนด์บริษัทที่เข้ามาถือหุ้นสโมสร หลักการณ์ของบอลประเทศนี้ต้องให้สิทธิแฟนบอลเข้าถือหุ้นตามหลัก 50+1

อย่างเดียวกันกับในวันถัดมาที่เดินทางไปสนามของ ไอน์ทรัค แฟร้งค์เฟิร์ต เตะกับ โวล์ฟส์บวรก ก็มีกองเชียร์ อินทรีแดงดำ โยนลูกเทนนิสลงสนามตอนต้นครึ่งหลังจนเกมต้องหยุดชั่วคราว เหตุผลก็เป็นประท้วงพวกเจ้าของบริษัทที่มาลงทุนในสโมสร     

ใช่เลย คู่แข่งของพวกเขา โวล์ฟส์บวร์ก ก็มี Volkswagen ถือหุ้นใหญ่มาแต่ไหนแต่ไร

ผมไม่ได้มีโอกาสมาดูบอลเยอรมันบ่อยนัก เขียนอีกอย่างก็เคยมาดินแดนรุ่มรวยสายพันธุ์เบียร์แต่ตอนนั้นมาทำข่าวนัดชิง ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกปี 2012 ที่มิวนิค ไม่เคยสักครั้งที่ได้มาสัมผัสบอลบุนเดสลีกาจริงจัง

นี่คือครั้งแรกที่เต็มไปด้วยความประทับใจ

การได้เข้าสนามที่เสียงกลองระรัวนำออกมา จากนั้นก็ตามด้วยการตะโกนปลุกใจออกมาซึ่งต่อให้อาจฟังไม่รู้เรื่องแต่ความรู้สึกก็ฮึกเหิมตามได้ ในแง่ของคุณภาพเกมนั้นถึงจะไม่ได้ดูสนุกเท่าบอลอังกฤษทว่าก็ไม่ได้หมายความว่าจืดชืดเหมือนส้มตำไม่ใส่พริก

สถิติที่บอกว่าเป็นลีกค่าเฉลี่ยทำประตูสูงสุดก็ยืนยันได้อย่างหนึ่ง

ปัญหาหลักที่ก็ไม่มั่นใจนักว่าจะเรียกว่าปัญหาได้เต็มปากไหมก็อยู่ที่จุดยืนอันแข็งกร้าวของพวกเขาที่จะไม่ยอมจ่ายเงินโอเวอร์ในการซื้อนักเตะเข้ามา ข้อนี้จึงทำให้แรงดึงดูดสู้พรีเมียร์ลีกหรือลา ลีกาไม่ได้ ข้อนี้ก็บอกเราว่าทำไมผลงานทีมเยอรมันในเวทียุโรปช่วงสิบปีมานี้ถึงสู้สองลีกดังกล่าวไม่ได้

กระนั้นการที่พวกเขามีจุดยืนแบบตัวเองก็ถือเป็นเรื่องดี มันไม่ได้ว่าเราต้องทำตามใครไปซะหมด ความยึดมั่นในปรัชญาตัวเองคือความแตกต่างที่ทำให้บุนเดสลีกาทะนงองอาจได้โดยที่ไม่ต้องง้อใคร

ว่าไปก็เป็นคาแรกเตอร์ของคนเยอรมันอยู่แล้ว

พวกเขาจึงโดดเด่นสง่าได้ในทุกมุม

อลิอานซ์ของ บาเยิร์น กับ ดอยทช์ แบงก์ ของ แฟร้งค์เฟิร์ต ถือเป็นสองสนามที่มีสองสไตล์ สนามหนึ่งอลังการ โอ่อ่าและดูยิ่งใหญ่ อีกสนามดูเก่าแต่มีมนต์ขลัง

ทริปนี้จึงถือว่าครบถ้วนกับการได้เปิดโลกอีกมุมของเกมลูกหนัง ได้สัมผัสถึงวิถีคนดอยทช์, ได้ลองอาหารที่คนเยอรมันนิยม, ได้กระทบไหล่มาคายที่ปัจจุบันทำงานให้เสือใต้ในตำแหน่ง World Squad Manager, ได้ทัวร์แคมปัสกับสนามซ้อมชุดใหญ่ และสำคัญที่สุดได้เจอเพื่อนใหม่ที่คุยภาษาลูกหนังเหมือนกัน

"Bundesliga Is Football As It's Meant To Be" สโลแกนของบุนเดสลีกา

มันไม่ได้ฟังเก๋ไก๋เท่านั้น มันยังเป็นเรื่องจริง...

"ไก่ป่า"


ที่มาของภาพ : siamsport
BY : ไก่ป่า
เอกราช นิติสุทธิ์สกุล
ติดตามช่องทางอื่นๆ:
Website : siamsport.co.th
Facebook : siamsport
Twitter : siamsport_news
Instagram : siamsport_news
Youtube official : siamsport
Line : @siamsport